iPhone SE (รุ่นที่ 3) กับ (รุ่นที่ 2) เทียบแล้วมีอะไรต่างกันบ้าง?

เราจะขอสรุปรวม ฟังก์ชันและคุณสมบัติต่างๆ ของ iPhone SE (รุ่นที่ 3) ที่เริ่มสั่งซื้อล่วงหน้า ตั้งแต่ 18 มี.ค. เวลา 9.00 น. และ วางจำหน่ายในวันที่ 25 มี.ค. นี้ ว่าเมื่อเทียบกัน iPhone SE (รุ่นที่ 2) แล้วมีอะไรที่น่าสนใจบ้าง

ภาพรวมของ iPhone SE (รุ่นที่ 3)

iPhone SE

iPhone SE (รุ่นที่ 3) ถือเป็น รุ่นใหม่ล่าสุดในรอบ 2 ปี ที่มีการปรับปรุงพัฒนา นับจากเปิดตัว รุ่นที่ 2 ซึ่งแม้ว่าในรุ่นล่าสุดนี้ ชื่อเรียกของสี อาจแตกต่างไปจากเดิมสักหน่อย แต่ทั้ง สามสี ก็ยังคงเป็น สี ดำ ขาว และ แดง ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปแต่อย่างใด รวมถึงดีไซน์การออกแบบที่ไม่มีความสดใหม่ใดๆ ออกมาให้ได้ตื่นตาตื่นใจ แต่เสปคโดยรวมทำออกมาได้ดีทีเดียว ไม่ว่าจะเป็น รองรับการใช้งานบนเครือข่าย 5G อีกทั้งยังมาในชิป ตัวล่าสุดอย่าง A15 Bionic แบบเดียวกันกันบน iPhone 13 เรือธงรุ่นล่าสุด ประสิทธิภาพของกล้องก็ดีขึ้น และอายุการใช้งานแบตเตอรี่ก็เพิ่มขึ้นมาก โดยราคายังคงเป็นรุ่นประหยัดเช่นเดียวกับที่ผ่านมา เริ่มต้นที่ 15,900 บาท พร้อมให้สั่งซื้อล่วงหน้าในวันที่ 18 มีนาคม ตั้งแต่เวลา 09:00 น. และวันวางจำหน่ายคือ วันที่ 25 มีนาคม

ราคาวางจำหน่าย

ราคาวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการ ของ Apple Store (รวมภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว)

64GB

128GB

256GB

Apple

15,900 ฿

17,900 ฿

21,900 ฿

ฟังก์ชั่นและคุณสุมบัติใหม่ของ iPhone SE (รุ่นที่ 3)

สเปกโดยรวม

สเปกโดยรวม

และนี้คือความแตกต่างระหว่าง iPhone รุ่นที่ 3 และรุ่นที่ 2 ซึ่งข้อมูลในตารางด้านล่างนี้ อ้างอิงจาก เว็บไซต์หลักอย่างเป็นทางการของ Apple

 

รุ่นที่ 3

รุ่นที่ 2

ระบบเครือข่าย

5G

4G

จอภาพ

Retina HD
อัตราส่วนคอนทราสต์ 1,400:1
ความสว่างสูงสุด 625 นิต

Retina HD
อัตราส่วนคอนทราสต์ 1,400:1
ความสว่างสูงสุด 625 นิต

ชิป

ชิป A15 Bionic
Neural Engine แบบ 16-core ใหม่

ชิป A13 Bionic
Neural Engine แบบ 8-core

กล้องหลัง

Deep Fusion
คุณสมบัติ "สไตล์ภาพถ่าย"
HDR อัจฉริยะ 4 สำหรับภาพถ่าย

HDR อัจฉริยะเจเนอเรชั่นถัดไป สำหรับภาพถ่าย

กล้องหน้า

HDR อัจฉริยะ 4 สำหรับภาพถ่าย
รองรับ การถ่าย วิดีโอสโลว์โมชั่น

HDR อัตโนมัติสำหรับภาพถ่าย

แบตเตอรี่

เล่นวิดีโอ: สูงสุด 15 ชั่วโมง
วิดีโอ (ผ่านการสตรีม): สูงสุด 10 ชั่วโมง
เล่นเสียง:สูงสุด 50 ชั่วโมง

เล่นวิดีโอ: สูงสุด 13 ชั่วโมง
วิดีโอ(ผ่านการสตรีม):สูงสุด 8 ชั่วโมง
เล่นเสียง:สูงสุด 40 ชั่วโมง

การออกแบบ

การออกแบบ

การออกแบบของ iPhone SE (รุ่นที่ 3) ในด้านของรูปลักษณ์ภายนอก ไม่มีการออกแบบใหม่ พูดได้ว่า แทบจะถอดแบบมาจาก รุ่นที่ 2 เลย อย่างไรก็ตามดีไซน์ของรุ่นที่ 2 นั้น ได้รับการพัฒนามาจาก iPhone 8 ที่วางจำหน่ายในปี 2017 ซึ่งจอภาพ จะมีกรอบทั้งด้านบนและด้านล่าง ที่ค่อนข้างกว้าง มาพร้อมปุ่มโฮม และมีมุมที่โค้งมน

เปรียบเทียบขนาด

เปรียบเทียบขนาด

รุ่นที่ 3 และ รุ่นที่2 มีขนาดเท่ากัน แต่ในแง่ของน้ำหนัก รุ่นที่ 3 เบากว่า 4 กรัม ในทางกลับกัน เมื่อเปรียบเทียบกับ iPhone 13 mini ที่มีขนาดใกล้เคียงกับ iPhone SE ที่สุดแล้ว จะเห็นได้ว่า iPhone SE นั้นจะใหญ่กว่าและหนักกว่าเล็กน้อย แต่ 13 mini ไม่มีปุ่มโฮม จึงมีข้อได้เปรียบ ทำให้ได้ขนาดจอภาพที่ใหญ่กว่า

 

รุ่นที่ 3

รุ่นที่ 2

13 mini

ขนาดจอภาพ

4.7 นิ้ว

4.7 นิ้ว

5.4 นิ้ว

ขนาด

ความสูง:138.4 mm
ความกว้าง:67.3 mm
ความหนา:7.3 mm

ความสูง:138.4 mm
ความกว้าง:67.3 mm
ความหนา:7.3 mm

ความสูง:131.5 mm
ความกว้าง:64.2 mm
ความหนา:7.65 mm

น้ำหนัก

144 g

148 g

140 g

วัสดุของตัวเครื่อง

ใช้อะลูมิเนียมเป็นวัสดุ เช่นเดียวกับรุ่นที่ 2 ซึ่งที่มีความทนทานและสวยงามน่ามอง ด้านหน้าและด้านหลังทำจากกระจก แต่ iPhone SE (รุ่นที่ 3) ใช้กระจกนิรภัยที่ทนทานที่สุดในประวัติศาสตร์ของสมาร์ทโฟน เช่นเดียวกับด้านหลังของ ซีรีส์ iPhone 13 ในแง่ของการกันน้ำและกันฝุ่น ยังอยู่ที่ระดับ IP67 (กันฝุ่นได้อย่างสมบูรณ์แบบ และกันน้ำได้นานถึง 30 นาทีภายใต้ความลึกของน้ำสูงสุด 1 เมตร)

จอภาพ

จอภาพ

iPhone SE (รุ่นที่ 3) ใช้จอภาพ Retina HD ความละเอียดสูงขนาด 4.7 นิ้ว (ความละเอียดพิกเซล: 1,334 x 750 ความหนาแน่นของพิกเซล: 326 ppi) อัตราส่วนคอนทราสต์ (1,400: 1) และความสว่างสูงสุด 625 นิต ดูเหมือนจะไม่เปลี่ยนแปลงจากรุ่นก่อนหน้า และมีเทคโนโลยี True Tone (ฟังก์ชันที่แสดงหน้าจออย่างเป็นธรรมชาติมากขึ้น โดยการหรี่แสงตามแสงรอบข้าง) และจอภาพขอบเขตสีกว้าง (P3) (การสร้างภาพที่สมจริงด้วยสีสันที่หลากหลาย) เช่นเดียวกับรุ่นที่ 2

ระบบการประมวลผล

iPhone SE (รุ่นที่ 3) มาพร้อมกับชิป A15 Bionic เช่นเดียวกับในซีรีส์ iPhone 13 ซึ่ง Apple อ้างว่าเป็น ชิปที่เร็วที่สุดในประวัติศาสตร์สมาร์ท แต่ในรุ่นที่ 2 นั้นติดตั้งชิป A13 Bionic

และยังใช้ CPU แบบ 6-core ใหม่ ซึ่งมีคอร์ด้านประสิทธิภาพ 2 คอร์ และคอร์ด้านประหยัดพลังงาน 4 คอร์ GPU แบบ 4-core ใหม่ Neural Engine แบบ 16-core ใหม่ ได้รับการอัปเกรดจากรุ่นที่2 ที่มาใน CPU แบบ 6‑core ซึ่งมีคอร์ด้านประสิทธิภาพ 2 คอร์ และคอร์ด้านประหยัดพลังงาน 4 คอร์ GPU แบบ 4‑core Neural Engine แบบ 8‑core

ซึ่งนอกเหนือจาก ปรับปรุงพลังการประมวลผล แล้ว Neural Engine แบบ 16-core ใหม่ ยังช่วยให้ในเรื่องของ คุณสมบัติ ใช้ข้อความในภาพ" ด้วยกล้อง iPhone(Live text) และการประมวลผลเสียง (เนื้อหาที่พูดกับ Siri) บน iOS 15 อีกด้วย

จากข้อมูลของ Apple ระบุว่า iPhone SE (รุ่นที่ 3) จะให้ประสิทธิภาพกราฟิกสูงถึง 1.2 เท่า เมื่อเทียบกันกับ รุ่นที่ 2 นอกจากนี้ ยังเร็วกว่า iPhone 8 (A11 Bionic) ที่เปิดตัวในปี 2017 ถึง 1.8 เท่า

กล้อง

กล้อง

กล้อง iPhone SE (รุ่นที่ 3) ได้รับการพัฒนาเพิ่มเติม เนื่องจากการติดตั้งชิป A15 Bionic และ การอัปเกรดกล้อง เป็นหนึ่งในข้อแตกต่างที่สำคัญ ระหว่างทั้งสองรุ่น

กล้องหลัง

มาใน กล้องเดี่ยว ความละเอียด 12MP (ไวด์) (รูรับแสงขนาด: f/1.8) เช่นเดียวกับรุ่นที่2 แต่ด้วยชิปใหม่ล่าสุด ทำให้สามารถใช้งานฟังก์ชันขั้นสูงแบบเดียวกับ iPhone 13 ได้

รองรับคุณสมบัติ "สไตล์ภาพถ่าย" (ฟังก์ชั่นที่ให้คุณตั้งค่ารูปแบบที่ คุณชื่นชอบ เช่น "ความอิ่มตัวของสี ฯลฯ" ได้ล่วงหน้า โดยที่ยังรักษาโทนสีของท้องฟ้าและสีผิวให้ดูเป็นธรรมชาติ ) และ เทคโนโลยีการประมวลผลภาพ "Deep Fusion" (ขั้นสูง)นอกจากนี้ยัง รองรับการจัดแสงภาพถ่ายบุคคลพร้อมเอฟเฟ็กต์ 6 แบบได้ทั้งก่อนหรือหลังจากที่คุณถ่ายภาพ

และยังสามารถถ่ายภาพด้วย HDR อัจฉริยะ 4 ได้ ด้วยการใช้ HDR อัจฉริยะ 4 แบบเดียวกันกับ ที่ใช้ในซีรีส์ iPhone 13 ทำให้คุณได้ภาพถ่ายที่สมจริงและเป็นธรรมชาติมากขึ้น ด้วยการปรับสี คอนทราสต์ ราสต์ แสง และโทนสีผิวของคนในภาพให้สวยขึ้นโดยอัตโนมัติได้สูงสุดถึง 4 คน

การบันทึกวิดีโอ

สำหรับการถ่ายวิดีโอ ทั้งสองรุ่นดูเหมือนว่าจะมีความสามารถที่ใกล้เคียงกัน แต่ด้วย iPhone SE รุ่นใหม่ล่าสุด ที่ติดตั้งชิป A15 Bionic นั้นจะได้โทนสีที่เป็นธรรมชาติมากขึ้น (white balance) และโทนสีผิวก็สมจริงยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะถ่ายทำในภาวะที่มีแสงน้อย เช่น ในเวลาพระอาทิตย์ตก คุณภาพวิดีโอที่ได้ออกมานั้นดีมากกว่าเดิม

อีกประการหนึ่ง คือ บนซีรีส์ iPhone 13 ในทุกรุ่นนั้น ได้รับการติดตั้ง ระบบป้องกันภาพสั่นไหว แบบออปติคัลที่ใช้การปรับตำแหน่งเซ็นเซอร์สำหรับวิดีโอ แต่ใน iPhone SE ใหม่นี้ ดูเหมือนว่าไม่มีการเปลี่ยนแปลงจากรุ่นก่อนหน้า เพราะยังคงใช้งาน ระบบป้องกันภาพสั่นไหวแบบออปติคัล เท่านั้น

กล้องหน้า

กล้องหน้ายังมีความละเอียดที่ 7MP (รูรับแสงขนาด f / 2.2) เหมือนกับรุ่นที่ 2 แต่ได้รับการอัปเกรด ให้รองรับ คุณสมบัติ "สไตล์ภาพถ่าย" มี Deep Fusion และ HDR อัจฉริยะ 4 เพิ่มเติมเข้ามา และสามารถ ถ่ายวิดีโอแบบไทม์แลปส์ พร้อมระบบป้องกันภาพวิดีโอสั่นไหวในคุณภาพระดับภาพยนตร์ (1080p และ 720p) อีกทั้งยังถ่ายวิดีโอสโลว์โมชั่นระดับ Full HD (1080p / 120fps) ได้แล้ว

Touch ID

Touch ID

การระบุตัวตนด้วยไบโอเมตริกซ์ มาในรูปแบบ Touch ID บนปุ่มโฮม ที่ผู้ใช้ iPhone SE คุ้นเคยกันเป็นอย่างดี สำหรับ Touch ID ปัจจุบัน มีข้อได้เปรียบ คือ เป็นวิธีที่รวดเร็วและความแม่นยำสูง ปลอดภัย และง่ายต่อการใช้งานในสถานการณ์ การแพร่กระจายของ Covid-19 ที่ผู้คนจำเป็นต้องสวมหน้ากากในขณะนี้

ระบบการสื่อสาร 5G

5G

คุณสมบัติที่น่าสนใจของ iPhone SE (รุ่นที่ 3) อีกหนึ่งอย่างก็คือ รองรับการสื่อสารบนเครือข่าย 5G ซี่งเทคโนโลยี 5G นั้น มีความเร็วสูง มีความเสถียร ดาวน์โหลดข้อมูลได้ไว ไม่กระตุก ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ ไม่ว่าจะดูวิดีโอความละเอียดสูง การเล่นเกมส์ หรือ วิดีโอคอลเพื่อประชุมออนไลน์ ซึ่งประสบการณ์ลื่นไหลเหล่านี้จะเป็นไปได้ยากหากไม่มี Wi-Fi

และในตอนนี้ iPhone SE (รุ่นที่3) รองรับการใช้งานบน 5G แน่นอนว่า คุณจะสามารถเพลิดเพลินกับ การสนทนาทางวิดีโอแบบ FaceTime คุณภาพระดับ HD ผ่านทางระบบเซลลูลาร์ ได้เช่นเดียวกันกับ การเชื่อมต่อแบบ Wi-Fi พร้อมความเพลิดลินในการแชร์ประสบการณ์ต่างๆ อย่าง ภาพยนตร์ รายการทีวี เพลง และแอปอื่นๆ ขณะโทร FaceTime ด้วย SharePlay บน iOS15 ผ่าน 5G ได้อย่างไม่สะดุดเช่นกัน

พร้อมกันนี้ยังมี โหมดข้อมูลอัจฉริยะเพื่อเปลี่ยนไปใช้ เครือข่าย 4G LTE เมื่อคุณยังไม่มีความจำเป็นต้องใช้งาน 5G ซึ่งนั่น ช่วยประหยัดพลังงานแบตเตอรี่ได้เป็นอย่างมาก

อย่างไรก็ตาม แม้ iPhone SE รุ่นใหม่ล่าสุด นี้ จะสามารถใช้งาน 5G ได้ เช่นเดียวกับ iPhone 12/13 แต่รองรับเฉพาะย่านความถี่ Sub-6 เท่านั้น ที่สามารถเชื่อมต่อได้ในไทย

ระบบการสื่อสาร LTE

ในด้านของระบบการสื่อสาร LTE บน iPhone SE ทั้งรุ่นที่ 2 และ 3 ใช้เทคโนโลยี "2x2 MIMO" ส่วนในรุ่นเรือธง (ซีรีส์ iPhone 11-13 ) นั้นใช้ "4x4 MIMO" ความหมายของ 4x4 MIMO คือ ใช้เสาอากาศส่งสัญญาณ 4 เสา และเสาอากาศรับสัญญาณ 4 เสา ยิ่งมีเสาอากาศมากเท่าใด ความเร็วในการสื่อสารก็จะยิ่งเร็วขึ้น ดังนั้นถึงแม้จะใช้การสื่อสาร LTE เหมือนกัน แต่ในทางทฤษฎีรุ่นเรือธงจะมีความเร็วมากกว่า

ไม่มี ชิปในตัว U1

ชิปในตัว U1 ที่ติดตั้งใน iPhone 11 และรุ่นที่ใหม่กว่า เป็นชิปที่ใช้เทคโนโลยีไร้สายอัลตร้าไวด์แบนด์ (UWB) สามารถระบุตำแหน่งอุปกรณ์ ได้ด้วยความแม่นยำสูง และเมื่ออยู่ในสถานการณ์ที่จำเป็น ต้องระบุข้อมูลตำแหน่ง เช่น เมื่อใช้งาน AirDrop และ AirTag ดูเหมือนว่าบน iPhone SE ทั้งในรุ่นที่ 2 และ 3 จะมีไม่ชิปในตัว U1 นี้ เมื่อไม่สามารถใช้การสื่อสารไร้สาย UWB ได้ การเชื่อมต่อระหว่างอุปกรณ์ เช่น AirTag กับ iPhone ก็จะเป็นแบบ ผ่านบลูทูธ แทน

ซิมแบบคู่

iPhone SE (รุ่นที่3) รองรับซิมคู่ คุณสามารถตั้งค่าสองซิม (ซิมการ์ดและ eSIM) ในโหมดสแตนด์บายบน iPhone เครื่องเดียวได้ เช่นเดียวกับรุ่นก่อนหน้า โดยคาดว่าในอนาคต ระบบซิมคู่นั้นได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ

แบตเตอรี่

 

รุ่นที่ 3

รุ่นที่ 2

เล่นวิดีโอ

สูงสุด 15 ชั่วโมง

สูงสุด 13 ชั่วโมง

เล่นวิดีโอ
ผ่านการสตรีม

สูงสุด 10 ชั่วโมง

สูงสุด 8 ชั่วโมง

เล่นเสียง

สูงสุด 50 ชั่วโมง

สูงสุด 40 ชั่วโมง

ในด้านอายุการใช้งานแบตเตอรี่ iPhone SE (รุ่นที่ 3) มีประสิทธิภาพเหนือกว่ารุ่นที่ 2 แม้จะมีฟังก์ชันขั้นสูง เช่น เทคโนโลยี 5G และระบบกล้องขั้นสูง แต่รุ่นที่ 3 ก็แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพ การประหยัดพลังงานที่ยอดเยี่ยม สืบเนื่องมาจาก การติดตั้งชิป A15 Bionic และ iOS 15 ด้วยการชาร์จเพียงครั้งเดียว สามารถใช้งานได้นานขึ้น

ระบบชาร์จไฟ

iPhone SE (รุ่นที่ 3) ยังรองรับการชาร์จความเร็วสูงเช่นเดียวกันกับ รุ่นที่ 2 ซึ่งความสามารถในการชาร์จ เร้วได้สูงสุด 50% ใน 30 นาที ด้วยอะแดปเตอร์ขนาด 20 วัตต์ หรือสูงกว่า (จำหน่ายแยกต่างหาก) สำหรับการชาร์จแบบไร้สาย น่าเสียดายที่ไม่รองรับแบบ MagSafe รองรับเฉพาะแบบ Qi เท่านั้น

ประสิทธภาพการเล่นเสียง/วิดีโอ

ในแง่ของประสิทธิภาพของการเล่นเสียง ระบบเสียงมีการพัฒนามากขึ้น ตั้งแต่ซีรีส์ iPhone 11 อย่างเช่น ฟังก์ชั่น การเล่นเสียงตามตำแหน่ง รองรับ Dolby Atmos ใน iPhone SE (รุ่นที่ 3) แม้ว่าจะหลายคนจะคาดหวังให้สามารถใช้งานได้ แต่ดูเหมือนว่าระบบการเล่นเสียงแบบสเตอริโอ ไม่ต่างจากรุ่นก่อนหน้านี้

ในทางกลับกัน สำหรับการเล่นวิดีโอ รองรับการทำงานในรูปแบบ ProRes โดย ProRes เป็นรูปแบบการตัดต่อวิดีโอที่พัฒนาโดย Apple และมีการใช้กันอย่างแพร่หลายในอุตสาหกรรมวิดีโอ เนื่องจาก แสดงสีสันด้วยความแม่นยำสูงและมีการบีบอัดต่ำ ทำให้ง่ายต่อการบันทึก ตัดต่อ และส่งมอบคอนเทนต์ที่พร้อมออกอากาศ

บทความที่เกี่ยวข้อง

Latest News