iPhone13 : อัพเดทข้อมูลล่าสุด

อัพเดทข้อมูล ซีรีส์ iPhone 13 รุ่นใหม่ล่าสุด พร้อมคุณสมบัติและฟีเจอร์ใหม่ของ iPhone 13 เมื่อเทียบกับ iPhone 12 ได้ที่นี้

วันที่เริ่มจองและวันวางจำหน่าย

รุ่น

สั่งซื้อล่วงหน้า

เริ่มวางจำหน่าย

iPhone 13

1 ตุลาคม 2564

8 ตุลาคม 2564

iPhone 13 Pro

iPhone 13 mini

iPhone 13 Pro Max

ราคาวางจำหน่าย (Apple Store)

 

13 mini

13

13 Pro

13 Pro Max

128GB

25,900 ฿

29,900 ฿

38,900 ฿

42,900 ฿

256GB

29,900 ฿

33,900 ฿

42,900 ฿

46,900 ฿

512GB

37,900 ฿

41,900 ฿

50,900 ฿

54,900 ฿

1TB

-

-

58,900 ฿

62,900 ฿

ข้อมูลและคุณสมบัติใหม่ของ iPhone 13

ขนาด

iPhone13

 

13 mini

13

13 Pro

13 Pro Max

ขนาดจอภาพ

5.4 นิ้ว

6.1 นิ้ว

6.1 นิ้ว

6.7 นิ้ว

ขนาด

สูง: 131.5 mm
กว้าง: 64.2 mm
หนา: 7.65 mm

สูง: 146.7 mm
กว้าง: 71.5 mm
หนา: 7.65 mm

สูง: 146.7 mm
กว้าง: 71.5 mm
หนา: 7.65 mm

สูง: 160.8 mm
กว้าง: 78.1 mm
หนา: 7.65 mm

น้ำหนัก

141 g

174 g

204 g

240 g

เปรียบเทียบกับซีรีส์ iPhone 12

 

12 mini

12

12 Pro

12 Pro Max

ขนาด

สูง: 131.5 mm
กว้าง:64.2 mm
หนา: 7.4 mm

สูง: 146.7 mm
กว้าง:71.5 mm
หนา: 7.4 mm

สูง: 146.7 mm
กว้าง:71.5 mm
หนา: 7.4 mm

สูง: 160.8 mm
กว้าง:78.1 mm
หนา: 7.4 mm

น้ำหนัก

133 g

162 g

187 g

226 g

จะเห็นได้ว่า ซีรีส์ iPhone 13 ทั้งสี่รุ่น มีความหนาและหนักกว่า ซีรีส์ iPhone 12 ซึ่งอาจเนื่องมาจากขนาดของแบตเตอรี่ที่ใหญ่ขึ้น ตามที่ Apple กล่าวว่า "แบตเตอรี่ที่ใช้งานได้ดีที่สุดเท่าที่เคยมีมาใน iPhone"

สี

iPhone13

ซ้าย iPhone 13 , ขวา iPhone 13 Pro

iPhone 13 / 13 mini มีให้เลือกทั้งหมด 5 สี ได้แก่ PRODUCT RED สีน้ำเงิน , สตาร์ไลท์ (สีขาว), มิดไนท์ (สีดำ) และสีชมพู ในขณะที่ iPhone 13 Pro / 13 Pro Max มี 4 สี เช่นเดิม โดยมีสีใหม่คือ เซียร์ร่าบลู ส่วนสีเดิมคื สีเงิน สีกราไฟต์ และ สีทอง

 

13 mini

13

13 Pro

13 Pro Max

สี

สตาร์ไลท์
มิดไนท์
น้ำเงิน
ชมพู
(PRODUCT)RED

กราไฟต์
ทอง
เงิน
เซียร์ร่าบลู

การออกแบบ

รูปลักษณ์ภายนอกโดยรวมคล้ายกับ ซีรีส์ iPhone 12 มากจนคุณมองแทบไม่ออกในแวบแรก ตัวเครื่องมีรูปทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัส และมีมุมมนที่รับกับดีไซน์แบบโค้งที่สวยงาม

iPhone13

วัสดุตัวเครื่อง

iPhone 13 / 13 mini ใช้วัสดุอะลูมิเนียมที่เบาและมีความทนทาน ด้านหลังแบบกระจก ไม่เพียงแต่ทนต่อการขีดข่วน แต่ยังดูสวยงามอีกด้วย ในทางกลับกัน ซีรีย์ Pro ใช้วัสดุแบบ สแตนเลสสตีลคุณภาพสูง ด้านหลังทำจากกระจกเคลือบพื้นผิวด้าน ซึ่งจะให้ความรู้สึกที่เรียบลื่นและป้องกันคราบรอยนิ้วมือได้ นอกจากนี้ ที่แผงด้านหน้าทั้งสี่รุ่นยังใช้ Ceramic Shield กันกระแทกเพื่อป้องกันหน้าจอ

iPhone 13 Pro

iPhone 13 Pro

รอยบาก

รอยบากบน iPhone นั้น เริ่มมีมาตั้งแต่ปี 2017 ใน iPhone X เป็นรุ่นแรก และเป็นหนึ่งสิ่งที่ได้รับเสียงวิพากษ์วิจารณ์มาโดยตลอด ล่าสุดบน iPhone13 แม้ว่ารูปร่างของรอยบากจะไม่เปลี่ยนแปลง แต่ความกว้างก็แคบลงประมาณ 20% ในทางกลับกัน ความสูงดูเหมือนว่าจะสูงขึ้นประมาณหนึ่งมิลลิเมตร ตามรายงานของ 9to5Mac สื่อของสหรัฐฯ

รอยบาก

ตำแหน่งเลนส์ แบบทแยงมุม

ในระบบกล้องคู่ของ iPhone 13 / 13 mini ออกแบบสถาปัตยกรรมขึ้นใหม่หมด กล้องอัลตร้าไวด์และกล้องไวด์หันเลนส์ทำมุม 45 องศา เข้าหากัน ในแนวทแยงแทนที่จะเป็นแนวตั้ง ทำให้รูปลักษณ์ด้านหลังดูไม่แปลกตาและสวยขึ้นด้วย

iPhone13

iPhone 13 / 13 mini

จอภาพ

iPhone 13/13 mini และ Pro series มีจอภาพ Super Retina XDR ที่มีความสว่างสูงสุด 28% และ 25% ตามลำดับ

จอภาพ

 

13 mini

13

13 Pro

13 Pro Max

ความละเอียด

2,340 x 1,080
476ppi

2,532 x 1,170
460ppi

2,532 x 1,170
460ppi

2,778 x 1,284
458ppi

ความสว่าง
(ทั่วไป)

800 นิต

800 นิต

1,000 นิต

1,000 นิต

ความสว่าง
(HDR)

1,200 นิต

1,200 นิต

1,200 นิต

1,200 นิต

หน้าจอแบบ "ProMotion" ที่อัตราการรีเฟรช 120Hz

ซีรีส์ Pro นำเทคโนโลยี "ProMotion" ที่รองรับอัตราการรีเฟรชแบบปรับได้สูงสุด 120Hz รองรับอัตราการรีเฟรชจาก 10Hz เป็น 120Hz (จำนวนครั้งที่หน้าจออัพเดทต่อวินาที) โดยจะปรับเพิ่มอย่างชาญฉลาด เมื่อคุณใช้งานด้านกราฟิกสูง และปรับลดเพื่อประหยัดพลังงานในเวลาที่ไม่จำเป็น อีกทั้งยังเร่งความเร็วขึ้นและลดความเร็วลงอย่างเป็นธรรมชาติ เพื่อให้เข้ากับความเร็วในการเลื่อนนิ้วของคุณด้วย

จากอัตราการรีเฟรชที่เพิ่มขึ้นถึง 60Hz เป็นสองเท่าหากเทียบกับรุ่นก่อนหน้า คุณจะสามารถเพลิดเพลินกับภาพที่ราบรื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับวิดีโอที่รวดเร็ว เช่น แอนิเมชั่นและเกม สัมผัสประสบการณ์การเคลื่อนไหวที่ลื่นไหล ผ่านการเลื่อนหน้าจอด้วยความเร็วสูง เช่น บนหน้าเว็บ ได้อีกด้วย

กล้อง

สำหรับ iPhone 13 / 13 mini กล้องยังคงเป็นระบบกล้องคู่ แบบ กล้องไวด์และอัลตร้าไวด์ ส่วน iPhone 13 Pro / 13 Pro Max นั้นจะมี 3ตัว คือ กล้องเทเลโฟโต้ ไวด์ และอัลตร้าไวด์ ในซีรีส์ Pro ไม่มีความแตกต่างในในเรื่องของกล้อง Pro และ Pro Max ทั้งสองรุ่นใช้ระบบกล้องแบบเดียวกัน

วิวัฒนาการของ กล้อง iPhone 13/13 mini

กล้อง iPhone 13

กล้องไวด์และอัลตร้าไวด์ มีความละเอียดที่ 12MP ซึ่งเท่ากับรุ่นก่อนหน้านี้ แต่กล้องไวด์ติดตั้งเซ็นเซอร์ที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของกล้องคู่ iPhone ด้วยขนาดเซนเซอร์ใหญ่ขึ้น แต่ละขนาดพิกเซลแต่ละพิกเซลก็ใหญ่ขึ้น (1.7 µm พิกเซล) และพื้นผิวที่รับแสงก็มากขึ้น ดังนั้น ปริมาณแสงที่รับได้ก็เพิ่มขึ้น iPhone 13/13 mini สามารถรับแสงได้มากกว่าเดิม 47% ทำให้เหมาะสำหรับการถ่ายภาพในที่มืดหรือในที่แสงน้อย ออกมาสวยงามยิ่งกว่าที่เคย

วิวัฒนาการของ กล้อง iPhone 13 Pro / 13 Pro Max

ในซีรีส์ Pro กล้องด้านหลังทั้ง 3 ตัว ได้รับการอัพเดททั้งในด้านซอฟแวร์และฮาร์ดแวร์

กล้อง

กล้องไวด์

มาพร้อมกับเซ็นเซอร์ขนาดใหญ่ ที่มีขนาดพิกเซล (1.9 µm พิกเซล) ที่ใหญ่กว่า iPhone 13 / 13 mini คุณสามารถถ่ายภาพได้ดียิ้งขึ้นในสภาวะแสงน้อย หรือในเวลากลางคืน เลนส์ยังได้รับการอัพเกรดจาก f/1.6 เป็น f/1.5 ยิ่งค่า F-number เล็กเท่าไหร่ การถ่ายภาพในที่มืดจะยิ่งดีขึ้น พร้อมโบเก้ที่สมจริงด้วยเซ็นเซอร์และเลนส์ใหม่ กล้องไวด์ ของซีรีส์ Pro ได้ปรับปรุงให้รับแสงได้มากขึ้นสูงสุด 2.2 เท่า สำหรับการถ่ายภาพในที่มืด เมื่อเทียบกับ iPhone 12 Pro / Pro Max

กล้องอัลตร้าไวด์

สามารถถ่ายภาพมาโครได้แล้ว พร้อมเลนส์ที่ออกแบบขึ้นใหม่และระบบออโต้โฟกัสอันทรงพลัง จึงโฟกัสได้ในระยะห่างเพียง 2 ซม. แม้แต่รายละเอียดเล็กๆก็ยังดูยิ่งใหญ่อลังการ คุณสมบัตินี้ยังสามารถใช้เพื่อถ่ายภาพยนตร์ เช่น สโลว์โมชั่นและไทม์แลปส์ นอกจากนี้ รูรับแสงยังเปลี่ยนจากขนาด f/2.4 เป็น f/1.8 มีเซ็นเซอร์ใหม่และกลไกโฟกัสอัตโนมัติ เพิ่มประสิทธิภาพในสภาพแวดล้อมที่มืดทำให้สามารถจับแสงได้เพิ่มขึ้นมากกว่าเดิมถึง 92%

กล้องเทเลโฟโต้

กล้องเทเลโฟโต้ใหม่ มีทางยาวโฟกัส 77 มม. และซูมแบบออปติคัลได้ 3 เท่า เหมาะทั้งสำหรับการถ่ายภาพบุคคลแบบคลาสสิก หรือการถ่ายภาพและวิดีโอจากระยะไกลให้ชัดยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังรองรับโหมดกลางคืน คุณจึงปรับความสว่างอัตโนมัติและถ่ายภาพที่สวยงามได้แม้ในที่มืด

iPhone 13 Pro Max

คุณสมบัติและฟังก์ชันของกล้อง iPhone 13

ระบบป้องกันภาพสั่นไหวแบบออปติคัล

ฟังก์ชัน "ระบบป้องกันภาพสั่นไหวแบบออปติคัลเซนเซอร์" ซึ่งก่อนหน้านี้มี เฉพาะใน กล้องไวด์ ของ iPhone 12 Pro Max เท่านั้น แต่ในขณะนี้ iPhone 13 ทุกรุ่น ใช้งานฟังก์ชันนี้ได้ วิธีการทำงานก็คือ ปรับตำแหน่งเซ็นเซอร์ใหม่ช่วยให้ช็อตต่างๆให้ นิ่ง แม้ว่าคุณจะมือไม่นิ่งก็ตาม และคุณสามารถถ่ายภาพนิ่งและวิดีโอได้อย่างชัดเจนแม้ในสภาพแวดล้อมที่มืด

โหมด "ภาพยนตร์"

โหมดภาพยนตร์

เพิ่มฟังก์ชันใหม่ "โหมดภาพยนตร์" เมื่อคุณถ่ายวิดีโอ ด้วยฟังก์ชันนี้ คุณสามารถโฟกัสไปที่บุคคลที่เป็นตัวแสดงได้โดยอัตโนมัติ และเบลอสภาพแวดล้อมโดยรอบอย่างเป็นธรรมชาติ กเปลี่ยนจุดโฟกัสระหว่างตัวแบบให้อย่างสวยงามโดยอัตโนมัติ นอกจากนี้โหมดภาพยนตร์ ยังบอกได้ด้วยว่ากำลังจะมีจุดสนใจใหม่ที่โดดเด่นเข้ามาในเฟรม และจะโฟกัสไปที่สิ่งนั้นทันที สร้างสร้างสรรค์ผลงานได้ราวกับถูกถ่ายโดย แถมยังการเลือกเปลี่ยนโฟกัสหรือปรับระดับของโบเก้หลังจากที่ถ่ายไปแล้ว ได้ในภายหลังอีกด้วย

คุณสมบัติ"สไตล์ภาพถ่าย"

คุณสมบัติ "สไตล์ภาพถ่าย" จะนำการตั้งค่า "โทนสี" แบบที่คุณชอบมาใช้กับรูปภาพของคุณ แต่จะต่างจากฟิลเตอร์ ตรงที่ท้องฟ้าและสีผิวจะยังคงดูเป็นธรรมชาติ เพียงแค่เลือกค่าสำเร็จรูปที่ออกแบบโดย Apple ซึ่งมีทั้งแบบ "สดใส", "ความต่างระดับสีสูง", "โทนอุ่น" และ "โทนเย็น" หรือ จะปรับแต่งเองก็สามารถทำได้ต้องการ เพียงตั้งค่าสไตล์แค่ครั้งเดียวคุณ ก็จะได้ภาพในแบบที่ถูกใจทุกครั้ง

โดยคุณสมบัตินี้ รองรับการใช้งานกับ กล้องหน้า ด้วย

HDR อัจฉริยะ 4

HDR อัจฉริยะ ได้รับการอัพเกรดจาก 3 เป็น 4 ใน iPhone 13 ทุกรุ่น ด้วย HDR อัจฉริยะ4 นี้ คุณสามารถปรับและปรับแต่งสี คอนทราสต์ แสง ของวัตถุแต่ละชนิดในภาพ หรือในฉากที่แสดงคนหลายคนได้ โดยอัตโนมัติ ทำให้ภาพหรือวิดีโอออกมาดูสมจริงมากยิ่งขึ้น

บันทึกและตัดต่อในแบบ ProRes

บนรุ่น Pro และ Pro Max สามารถถ่ายวิดีโอแบบ ProRes ได้ที่ความละเอียดสูงสุด 4K / 30fps ในทั้งกล้องด้านหน้าและด้านหลัง (อย่างไรก็ตาม สำหรับพื้นที่จัดเก็บข้อมูล ความจุ 128GB ความละเอียดจะเป็นแบบ 1080p / 30fps)

ProRes เป็นรูปแบบสำหรับการตัดต่อวิดีโอ ที่พัฒนาโดย Apple นอกจากข้อดี คือ ไฟล์มีขนาดเล็ก มีการบีบอัดต่ำ ยังสามารถรักษาคุณภาพของภาพในระดับสูงไว้ได้ ทำให้ส่งวิดีโอออก ได้อย่างรวดเร็ว ดังนั้นจึงใช้กันอย่างแพร่หลายในอุตสาหกรรมวิดีโอ

ระบบยืนยันตนแบบ Face ID เท่านั้น ส่วน Touch ID ยังไม่ถูกนำมาใช้

เนื่องจาก สถานการณ์ โควิด-19 ที่ทำให้การสวมหน้ากากเป็นเรื่องธรรมดา จนมีเสียงเรียกร้อง ให้นำระบบ Touch ID (การตรวจสอบลายนิ้วมือ) มาใช้บน iPhone รุ่นใหม่ หรือถ้าเป็นไปได้ อยากให้สามารถใช้งานได้ทั้ง Face ID และ Touch ID แต่น่าเสียดายที่ ซีรีส์ iPhone 13 สามารถใช้งาน Face ID ในการยืนยันตัวตนได้เพียงอย่างเดียว

ระบบการสื่อสารแบบ 5G

ก่อนมีการเปิดตัว iPhone ใหม่ในปีนี้ มีความคาดหวังว่า จะสามารถรองรับคลื่นระดับมิลลิเมตร ได้ แต่หลังจากเปิดตัวแล้ว ไม่พบว่า iPhone 13 รุ่นไหนเลย ที่รองรับคลื่นระดับมิลลิเมตร โดยทุกรุ่นในซีรีส์ สามารถใช้งาน 5G ในย่านความถี่ sub 6 GHz ได้เท่านั้น

ตามที่ Apple ระบุว่า series iPhone 13 รองรับคลื่นความถี่ 5G ได้ครอบคลุมขึ้น ดังนั้น 5G จะพร้อมใช้งานในพื้นที่ ที่กว้างขึ้น และเมื่อคุณไม่ต้องการ 5G คุณสามารถใช้โหมด ข้อมูลอัจฉริยะเพื่อเปลี่ยนเป็นเครือข่าย LTE เพื่อประหยัดพลังงานแบตเตอรี่ได้

การใช้งาน eSIM แบบคู่

ซีรีส์iPhone 13 รองรับการใช้งาน eSIM คู่ ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของ iPhone นับตั้งแต่ iPhone XS / XS Max / XR ที่เปิดตัวในปี 2018 iPhone รองรับซิมคู่ แบบโดย Nano-SIM (ซิมจริง) และ eSIM ในตัว ได้อย่างละ 1 ซิม แต่ในซีรีส์ iPhone 13 ยังมีช่องใส่ซิมการ์ด (nano-SIM) หนึ่งช่อง และยังสามารถใช้ eSIM ได้ทั้งสองซิม

eSIM คือซิมดิจิทัลที่ฝังไว้ล่วงหน้าในเครื่องเทอร์มินัล ดังนั้น คุณสามารถเปลี่ยนหรือเพิ่มผู้ให้บริการ เครือข่ายมือถือ โดยไม่ต้องเปลี่ยนซิมการ์ด คราวนี้รองรับ eSIM แบบคู่ หมายความว่าสามารถตั้งค่า eSIM ได้ 2 ตัวในเทอร์มินัลเดียว

ระบบประมวลผล ด้วยชิป A15 Bionic

a15

ทั้งสี่รุ่นของซีรีส์ iPhone 13 ติดตั้ง ชิปล่าสุด "A15 Bionic" ซึ่งอ้างว่าเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ของสมาร์ทโฟน ประสิทธิภาพอันทรงพลัง และประสิทธิภาพในการประมวลผลสูง ทำให้เกิดการทำงานของส่วนต่าง เช่น กล้อง วิดีโอ และจอแสดงผล รวดเร็วและทรงพลังอย่างไม่เคยมีมาก่อน

iPhone 13 / 13 mini

CPU 6-core / GPU 4-core / Neural Engine 16-core

CPU แบบ 6‑core ซึ่งมีคอร์ด้านประสิทธิภาพ 2 คอร์ และคอร์ด้านประหยัดพลังงาน 4 คอร์ จากข้อมูลของ Apple ประสิทธิภาพการประมวลผลที่เหนือชั้น นั้นเร็วกว่าสมาร์ทโฟนของบริษัทอื่นถึง 50% GPU แบบ 4 ‑core เร็วกว่าบริษัทอื่นถึง 30% ทำให้แสดงภาพในเกมที่สมจริงยิ่งขึ้นโดยใช้กราฟิก Neural Engine แบบ 16‑core สามารถทำงานได้ 15.8 ล้านล้านครั้ง ต่อวินาที ซึ่งเร็วกว่า A14 Bionic ที่ทำงานอยู่ที่ 11 ล้านล้านครั้ง ต่อวินาที

iPhone 13 Pro / 13 Pro Max

CPU 6-core / GPU 5-core / Neural Engin 16-core

CPU แบบ 6‑core ซึ่งมีคอร์ด้านประสิทธิภาพ 2 คอร์และคอร์ด้านประหยัดพลังงาน 4 คอร์ มีพลังในการประมวลผลเร็วกว่าบริษัทอื่นถึง 50% และสามารถรองรับงานที่มีภาระงานสูงได้อย่างสบาย ในทางกลับกัน กราฟิกนั้นมาพร้อมกับ GPU แบบ 5 คอร์ ซึ่งเร็วกว่าบริษัทอื่นๆ ถึง 50% และให้ประสิทธิภาพกราฟิกสูงสุดในประวัติศาสตร์ของ iPhone เรียกได้ว่าเปิดประสบการณ์อย่างแท้จริงโดยเฉพาะในแอพวิดีโอและเกมกราฟิก นอกจากนี้ยังมี Neural Engine 16 คอร์อีกด้วย

สาย Lightning

สำหรับสายในการเชื่อมต่อข้อมูล และชาร์จไฟ ของซีรีส์ iPhone 13 เป็น สาย Lightning ตัวขั้วเป็น USB Type-C ในขณะเดียวกัน ก็สามารถชาร์จแบบไร้สายได้กับ MagSafe และ Qi

อายุการใช้งานของแบตเตอรี่

 

13 mini

13

13 Pro

13 Pro Max

เล่นวิดีโอ

สูงสุด 17 ชั่วโมง

สูงสุด 19 ชั่วโมง

สูงสุด 22 ชั่วโมง

สูงสุด 28 ชั่วโมง

เล่นวิดีโอ
(ผ่านการสตรีม)

สูงสุด 13 ชั่วโมง

สูงสุด 15 ชั่วโมง

สูงสุด 20 ชั่วโมง

สูงสุด 25 ชั่วโมง

เล่นเสียง

สูงสุด 55 ชั่วโมง

สูงสุด 75 ชั่วโมง

สูงสุด 75 ชั่วโมง

สูงสุด 95 ชั่วโมง

ใน iPhone 13 ความจุของแบตเตอรี่เพิ่มขึ้นทุกรุ่น แบตเตอรี่ที่ขยายใหญ่ขึ้น ประกอบกับการใช้ชิป A15 Bionic และฮาร์ดแวร์ประหยัดพลังงานอื่นๆ รวมถึงการใช้ซอฟต์แวร์ประสิทธิภาพสูงทำงานร่วมกัน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพพลังงานและยืดอายุการใช้งานแบตเตอรี่ให้ได้ยาวนานที่สุด สิ่งที่เราคาดหวังก็คือ "แบตเตอรี่ที่ใช้งานได้ทั้งวัน" เมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้านี้ iPhone 13 Pro ใช้งานได้นานกว่าเดิมถึง 1.5 ชั่วโมงต่อวัน และ iPhone 13 Pro Max เป็นรุ่นที่ในนานที่สุด นานกว่าเดิมถึง สูงสุด 2.5 ชั่วโมงต่อวัน นอกจากนี้ iPhone 13 / 13 mini มีระยะการใช้งานสูงสุดที่เพิ่มขึ้น 2.5 ชั่วโมงและ 1.5 ชั่วโมงต่อวัน ตามลำดับ

ประสิทธภาพ การกันน้ำ กันฝุ่น

ซีรีส์ iPhone 13 ทุกรุ่น กันฝุ่นและกันน้ำที่ระดับ IP68 (ความลึกไม่เกิน 6 เมตร ภายในระยะเวลาสูงสุด 30 นาที) ตามมาตรฐาน IEC 60529

บทความที่เกี่ยวข้อง

Latest News