iPhone 13 กับ iPhone 12 เทียบชัดๆ มีอะไรที่ต่างกันบ้าง?
ใครที่กำลังจะตัดสินใจซื้อ iPhone 13 รุ่นใหม่ล่าสุด ลองมาดูสรุปรวมในบทความนี้ กันว่า เมื่อเปรียบเทียบกับ ซีรีส์ iPhone 12 ความแตกต่างระหว่างสองรุ่นนี้ มีอะไรบ้าง และรุ่นไหนกันแน่ที่เหมาะกับคุณ
= เนื้อหาในบทความนี้ =
ราคาวางจำหน่าย ใน Apple Store
iPhone 13 Pro
เนื่องด้วยการเปิดตัว iPhone 13 ทำให้ Apple Store ปรับลดราคาของ iPhone 12 / 12 mini ลงมา และได้ยกเลิกการจำหน่าย iPhone 12 Pro / 12 Pro Max (โดยสามารถหาซื้อได้จากตัวแทนจำหน่าย)
|
13 mini |
13 |
13 Pro |
13 Pro Max |
---|---|---|---|---|
128GB |
25,900 ฿ |
29,900 ฿ |
38,900 ฿ |
42,900 ฿ |
256GB |
29,900 ฿ |
33,900 ฿ |
42,900 ฿ |
46,900 ฿ |
512GB |
37,900 ฿ |
41,900 ฿ |
50,900 ฿ |
54,900 ฿ |
1TB |
- |
- |
58,900 ฿ |
62,900 ฿ |
|
12 mini |
12 |
12 Pro |
12 Pro Max |
64GB |
21,900 ฿ |
25,900 ฿ |
- |
- |
128GB |
23,900 ฿ |
27,900 ฿ |
- |
- |
256GB |
27,900 ฿ |
31,900 ฿ |
- |
- |
เปรียบเทียบสเปค
ความแตกต่างของสเปคโดยรวม
ความแตกต่างในเรื่องของสเปคของทั้งสองรุ่นที่ประกาศโดย Apple มีดังนี้
|
iPhone 13 |
iPhone 12 |
---|---|---|
ขนาด |
128GB |
64GB |
จอภาพ |
อัตรารีเฟรชสูงสุด 120Hz รองรับ ProMotion (รุ่น Pro ขึ้นไป) |
- |
ระบบประมวลผล |
ชิป A15 Bionic |
ชิป A14 Bionic |
SIM |
รองรับ eSIM คู่ |
- |
แบตเตอรี่ |
ใช้งานได้นานขึ้น 1.5~2.5 ชั่วโมง |
- |
กล้อง |
เทเลโฟโต้ :ƒ/2.8 |
เทเลโฟโต้:ƒ/2.0
|
ระบบป้องกันภาพสั่นไหว |
แบบออปติคัลที่ใช้การปรับตำแหน่งเซ็นเซอร์ |
แบบออปติคัล |
การซูม |
ซูมเข้าแบบออปติคัล 3 เท่า |
ซูมเข้าแบบออปติคัล 2 เท่า |
ระบบการจับภาพ |
HDR 4 |
HDR 3 |
การบันทึกวีดิโอ |
ระบบป้องกันภาพสั่นไหวแบบออปติคัลที่ใช้การปรับตำแหน่งเซ็นเซอร์ |
ระบบป้องกันภาพสั่นไหวแบบออปติคัล |
ดีไซน์
ซ้าย iPhone 13 , ขวา iPhone 12
การออกแบบของ ซีรีส์ iPhone 13 และ ซีรีส์ iPhone 12 มีความใกล้เคียงกันมาก หากมองแบบผิวเผิน มีขอบแบน มุมโค้งมน การออกแบบพื้นฐาน เช่น รูปลักษณ์ของตัวเครื่องและวัสดุที่ใช้นั้นเกือบจะเหมือนเดิม
เปรียเทียบขนาด
แม้ว่าซีรีส์ iPhone 13 ตัวเครื่องจะหนาขึ้นและหนักกว่ารุ่นก่อนหน้านี้เล็กน้อย สาเหตุน่าจะมาจากการเพิ่มแบตเตอรี่ในตัวเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพของอุปกรณ์ทั้งหมดนั่นเอง
|
13 mini |
13 |
13 Pro |
13 Pro Max |
---|---|---|---|---|
ขนาดจอภาพ |
5.4 นิ้ว |
6.1 นิ้ว |
6.1 นิ้ว |
6.7 นิ้ว |
ขนาด |
สูง:131.5 mm |
สูง:146.7 mm |
สูง:146.7 mm |
สูง:160.8 mm |
น้ำหนัก |
141 g |
174 g |
204 g |
240 g |
|
12 mini |
12 |
12 Pro |
12 Pro Max |
ขนาดจอภาพ |
5.4 นิ้ว |
6.1 นิ้ว |
6.1 นิ้ว |
6.7 นิ้ว |
ขนาด |
สูง:131.5 mm |
สูง:146.7 mm |
สูง:146.7 mm |
สูง:160.8 mm |
น้ำหนัก |
133 g |
162 g |
187 g |
226 g |
รอยบากที่แคบลง 20%
ซ้าย iPhone 12 , ขวา iPhone 13
รอยบากที่ด้านบนของหน้าจอ เป็นอีกหนึ่งสิ่ง ที่ผู้ใช้ให้ความสนใจเสมอ เมื่อมีการเปิดตัว iPhone รุ่นใหม่ และสำหรับรอยบาก บน ซีรีส์ iPhone 13 ก็ยังคงลักษณะเช่นเดิม แต่แคบกว่ารุ่นก่อนหน้านี้ประมาณ 20% ด้านในของรอยบากประกอบด้วย โมดูลกล้องและเซ็นเซอร์หลายตัว รวมถึงกล้อง TrueDepth จากการที่ให้ระบบเหล่านี้เล็กลง รอยบากก็หดตัวเล็กลงด้วยเช่นกัน และแน่นอนว่า พื้นที่หน้าจอก็เพิ่มมาขึ้นเช่นเดียวกัน
ตำแหน่งการวางเลนส์กล้องเปลี่ยนไป ใน iPhone 13 / 13 mini
ซ้าย iPhone 12 , ขวา iPhone 13
หนึ่งไฮไลท์ ของความแตกต่างระหว่าง iPhone 13 / 13 mini กับ 12 / 12 mini คือ การวางตำแหน่งของเลนส์กล้องที่ด้านหลัง โดยบน iPhone 13 / 13 mini กล้องไวด์และกล้องอัลตร้าไวด์จัดวางในแนวทแยงมุม ให้ความรู้สึกที่แตกต่างจากการจัดเรียงแบบแนวตั้ง จากด้านบนลงสู่ด้านล่างที่คุณคุ้นเคย โดยทาง Apple เองก็ได้ระบุว่า นี่คือ "ระบบกล้องคู่ที่ล้ำหน้าที่สุดในประวัติศาสตร์ของ iPhone"
จอภาพ
จอภาพของ iPhone 13 ใช้จอภาพ Super Retina XDR แบบเดียวกันกับที่ใช้ใน iPhone 12 ทั้งสี่รุ่น ความละเอียดและความหนาแน่นของพิกเซล เหมือนกับรุ่นก่อนหน้า แต่ความสว่างสูงสุด เมื่ออยู่กลางแจ้งเพิ่มขึ้นอย่างมากโดย iPhone 13 / 13 mini เพิ่มขึ้นถึง 28% เป็น 800 นิต และ iPhone 13 Pro / 13 Pro Max เพิ่มขึ้นถึง 25% ถึง 1,000 นิต พร้อมกันนี้ Apple ยังกล่าวอีกว่า "จอแสดงผลที่สว่างที่สุดในประวัติศาสตร์ของ iPhone"
ในรุ่น ซีรีส์ Pro มาพร้อมกับจอแสดงผลที่รองรับการใช้เทคโนโลยี ProMotion หน้าจอแบบProMotion จะปรับอัตราการรีเฟรชโดยอัตโนมัติ (จำนวนครั้งที่หน้าจออัปเดตต่อวินาที)
โดย อัตราการรีเฟรชจะเริ่มตั้งแต่ 10Hz ไปถึง 120Hz ซึ่งมากกว่าบนซีรีส์ iPhone 12 ถึงสองเท่า ดังนั้นเมื่อมีการใช้งานที่แสดงเฉพาะข้อความหรือตัวอักษรเท่านั้น ระบบก็จะลดอัตราการรีเฟรชเพื่อลดการใช้แบตเตอรี่ ...
ยิ่งอัตราการรีเฟรชสูงเท่าไหร่ การทำงานของหน้าจอก็จะยิ่งราบรื่นมากขึ้น แม้แต่ การดูวิดีโอ หรือเล่นเกมส์ที่ที่ใช้งานกราฟิกสูงๆ ก็ไม่เป็นปัญหา การแสดงผลบนหน้าจอยังคงราบรื่นและเป็นไปอย่างลื่นไหล คุณจะได้สัมผัสประสบการณ์การใช้งานที่ราบรื่นและสะดวกสบาย แม้ในขณะที่เลื่อนดูเว็บไซต์ผ่านปลายนิ้วอย่างรวดเร็ว ก็ไม่มีสะดุด
กล้อง
สิ่งที่ได้รับการอัพเกรดมากที่สุด เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ใน ซีรีส์ iPhone 13 น่าจะเป็น คุณสมบัติของกล้อง
ในส่วนของระบบกล้องนั้น iPhone 13 / 13 mini มาพร้อมกับระบบกล้องคู่ เป็น กล้องไวด์และอัลตร้าไวด์ ส่วนใน iPhone 13 Pro / 13 Pro Max มาในระบบที่ Apple เรียกว่า ระบบกล้องระดับโปร ประกอบด้วย กล้องเทเลโฟโต้ ไวด์ และ อัลตร้าไวด์ และตัวกล้องเทเลโฟโต้ ในซีรีส์ Pro iPhone 13 Pro / 13 Pro Max ใช้สเปกเดียวกัน แต่ของรุ่นก่อนหน้านี้ รุ่น Pro และ Pro Max ใช้คนละสเปกกัน
เปรียบความต่างของกล้อง 13 / 13 mini กับ 12 / 12 mini
กล้อง iPhone 13 / 13 mini มีความละเอียดที่ 12 ล้านพิกเซล กล้องไวด์และอัลตร้าไวด์ เหมือนกับรุ่นก่อน แต่ เซ็นเซอร์ของกล้องไวด์นั้นมีขนาดเพิ่มขึ้น เป็น 12MP ซึ่งใหญ่ที่สุดในประวัติการณ์ระบบกล้องคู่ของ iPhone ยิ่งเซ็นเซอร์มีขนาดใหญ่ขึ้น ขนาดพิกเซลก็ยิ่งใหญ่ขึ้น (บน iPhone 12 ขนาดพิกเซลอยู่ที่ 1.7µm พิกเซล , 1.4 µm พิกเซล ตามลำดับ) และพื้นผิวรับแสงก็จะมากขึ้น ช่วยให้คุณถ่ายภาพที่มีความไวแสงสูงและมีช่วงไดนามิกกว้างได้ดียิ่งขึ้น รวมทั้งการถ่ายภาพที่ในสถานการณ์ที่มีแสงน้อย เช่น ในเวลากลางคืน ตอนนี้ iPhone 13/13 mini สามารถจับแสงได้มากกว่าเดิมถึง 47%
เปรียบเทียบความต่างของกล้อง 13 Pro / 13 Pro Max กับ 12 Pro / 12 Pro Max
มาถึงรุ่นท็อปและรองท็อป ในตระกูล Pro กันบ้าง iPhone 13 Pro / 13 Pro Max มาพร้อมกับ กล้องเทเลโฟโต้ ไวด์ และ อัลตร้าไวด์ และตัวกล้องเทเลโฟโต้ โดยใช้เซ็นเซอร์และเลนส์ แบบใหม่ทั้งหมด
เริ่มที่กล้องไวด์ มาพร้อมกับเซ็นเซอร์ขนาดใหญ่ที่ มีขนาดพิกเซล 1.9 µm พิกเซล (บน iPhone 12 Pro / Pro Max มีขนาด 1.4 µm / 1.7 µm พิกเซล ตามลำดับ) ภาพถ่ายในที่ ที่มีแสงน้อย รวมถึงในเวลากลางคืน สวยงาม สมจริง มากยิ่งขึ้น เลนส์เปลี่ยนจาก ขนาด f /1.6 เป็น f / 1.5 ยิ่งค่า F น้อยเท่าไหร่ การจับแสงก็จะยิ่งจับได้มากขึ้นเท่านั้น ส่งผลให้ภาพถ่ายสว่างขึ้น คุณยังสามารถเพลิดเพลินกับโบเก้ที่ต้องการได้อีกด้วย เมื่อเทียบกับ iPhone 12 Pro / Pro Max แล้ว ใน ซีรีส์ iPhone 13 Pro การถ่ายภาพในที่แสงน้อยนั้น สามารถรับแสงได้มากกว่าถึง 2.2 เท่า และประมาณ 1.5 เท่าตามลำดับ
ด้วยกล้องอัตร้าไวด์ ตอนนี้สามารถถ่ายภาพมาโครได้ ในระยะใกล้ถึง 2 ซม. จากวัตถุ การถ่ายภาพมาโครไม่เพียงแต่ใช้ได้กับภาพถ่ายเท่านั้น แต่ยังสามารถใช้กับการบันทึกวิดีโอ เช่น สโลว์โมชั่นและไทม์แลปส์ได้ด้วย เลนส์เปลี่ยนจาก f / 2.4 เป็น f / 1.8 นอกจากนี้ยัง ชุดเลนส์ 6 ชิ้น เป็นองค์ประกอบ เซนเซอร์ใหม่ และกลไกโฟกัสอัตโนมัติ เพิ่มประสิทธิภาพของการถ่ายภาพในที่มืด สามารถจับแสงได้มากกว่าเดิมถึง 92%
กล้องเทเลโฟโต้ใหม่นี้ มีความยาวโฟกัส 77 มม. การซูมแบบออปติคอลเพิ่มขึ้นจาก 2 เท่า เป็น 3 เท่า และช่วงซูมออปติคอลของระบบกล้องเพิ่มขึ้นเป็น 6เท่า (บน iPhone 12 Pro / 12 Pro Max ทำได้ที่ 4เท่า และ 5 เท่า ตามลำดับ) นอกจากนี้ยังรองรับการซูมดิจิทับสูงสุดถึง 15 เท่า (บน iPhone 12 Pro / 12 Pro Max อยู่ที่10 เท่า และ 12 เท่า ตามลำดับ) นอกจากนี้เลนส์ยังได้รับการอัพเกรดเป็น f / 2.8 ( ใน iPhone 12 Pro / 12 Pro Max มีขนาด f / 2.0 และ f / 2.2 ตามลำดับ) นอกจากนี้ยังรองรับโหมดกลางคืน คุณจึงสามารถถ่ายภาพคุณภาพสูงได้แม้ในที่มืด เช่น วิวในช่วงกลางคืน
ส่วน ฟังก์ชันกล้อง ที่มีอยู่ใน ซีรีส์ iPhone 13 ทุกรุ่น ก็คือ ระบบป้องกันภาพสั่นไหวแบบออปติคัลแบบใช้การปรับตำแหน่งเซ็นเซอร์ คุณสมบัติ "สไตล์ภาพถ่าย" และ ระบบ HDR อัจฉริยะ 4
ระบบป้องกันภาพสั่นไหวแบบออปติคัลที่ใช้การปรับตำแหน่งเซ็นเซอร์
ฟังก์ชัน "ระบบป้องกันภาพสั่นไหวแบบออปติคัลที่ใช้การปรับตำแหน่งเซนเซอร์" ซึ่งก่อนหน้านี้มี เฉพาะใน กล้องไวด์ ของ iPhone 12 Pro Max เท่านั้น แต่ในขณะนี้ วิธีการทำงานก็คือ ปรับตำแหน่งเซ็นเซอร์ใหม่ช่วยให้ช็อตต่างๆให้ นิ่ง แม้ว่าคุณจะมือไม่นิ่งก็ตาม และยังคุณสามารถถ่ายภาพนิ่งและวิดีโอได้อย่างชัดเจนแม้ในสภาพแวดล้อมที่มืด
คุณสมบัติ"สไตล์ภาพถ่าย"
คุณสมบัติ "สไตล์ภาพถ่าย" จะนำการตั้งค่า "โทนสี" แบบที่คุณชอบมาใช้กับรูปภาพของคุณ แต่จะต่างจากฟิลเตอร์ ตรงที่ท้องฟ้าและสีผิวจะยังคงดูเป็นธรรมชาติ เพียงแค่เลือกค่าสำเร็จรูปที่ออกแบบโดย Apple ซึ่งมีทั้งแบบ "สดใส", "ความต่างระดับสีสูง", "โทนอุ่น" และ "โทนเย็น" หรือ จะปรับแต่งเองก็สามารถทำได้ต้องการ เพียงตั้งค่าสไตล์แค่ครั้งเดียวคุณ ก็จะได้ภาพในแบบที่ถูกใจทุกครั้ง
HDR อัจฉริยะ 4
HDR อัจฉริยะ ได้รับการอัพเกรดจาก 3 เป็น 4 ใน iPhone 13 ทุกรุ่น ด้วย HDR อัจฉริยะ4 นี้ คุณสามารถปรับและปรับแต่งสี คอนทราสต์ แสง ของวัตถุแต่ละชนิดในภาพ หรือในฉากที่แสดงคนหลายคนได้ โดยอัตโนมัติ ทำให้ภาพหรือวิดีโอออกมาดูสมจริงมากยิ่งขึ้น
ฟังก์ชั่นที่ใช้งานได้ในทุกรุ่น ของ iPhone 13 สำหรับการบันทึกวิดีโอ คือ โหมดภาพยนตร์โหมด "ภาพยนตร์"
ฟังก์ชันใหม่ บน iPhone 13 ก็คือ "โหมดภาพยนตร์" เมื่อคุณถ่ายวิดีโอ ด้วยฟังก์ชันนี้ คุณสามารถโฟกัสไปที่บุคคลที่เป็นตัวแสดงได้โดยอัตโนมัติ และเบลอสภาพแวดล้อมโดยรอบอย่างเป็นธรรมชาติ กเปลี่ยนจุดโฟกัสระหว่างตัวแบบให้อย่างสวยงามโดยอัตโนมัติ นอกจากนี้โหมดภาพยนตร์ ยังบอกได้ด้วยว่ากำลังจะมีจุดสนใจใหม่ที่โดดเด่นเข้ามาในเฟรม และจะโฟกัสไปที่สิ่งนั้นทันที สร้างสร้างสรรค์ผลงานได้ราวกับถูกถ่ายโดย แถมยังการเลือกเปลี่ยนโฟกัสหรือปรับระดับของโบเก้หลังจากที่ถ่ายไปแล้ว ได้ในภายหลังอีกด้วย
นอกจากนี้ ฟังก์ชันของวิดีโอ เฉพาะในรุ่น Pro ทั้งสองรุ่นยังได้รับอัพเกรด ในเรื่องของ ช่วงซูมออปติคอล เป็น 6 เท่า (บน iPhone 12 Pro / Pro Max ซูมได้เพียง 4 เท่า และ 5 เท่า ตามลำดับ) และ ซูมดิจิทัลสูงสุด 9 เท่า (บน iPhone 12 Pro / Pro Max อยู่ที่ 6เท่า และ 7เท่า ตามลำดับ) รองรับรูปแบบ การบันทึกและแก้ไข ProRes และอื่นๆ
บันทึกและตัดต่อในแบบ ProRes
บนรุ่น Pro และ Pro Max สามารถถ่ายวิดีโอแบบ ProRes ได้ที่ความละเอียดสูงสุด 4K / 30fps ในทั้งกล้องด้านหน้าและด้านหลัง (อย่างไรก็ตาม สำหรับพื้นที่จัดเก็บข้อมูล ความจุ 128GB ความละเอียดจะเป็นแบบ 1080p / 30fps)
ProRes เป็นรูปแบบสำหรับการตัดต่อวิดีโอ ที่พัฒนาโดย Apple นอกจากข้อดี คือ ไฟล์มีขนาดเล็ก มีการบีบอัดต่ำ ยังสามารถรักษาคุณภาพของภาพในระดับสูงไว้ได้ ทำให้ส่งวิดีโอออก ได้อย่างรวดเร็ว ดังนั้นจึงใช้กันอย่างแพร่หลายในอุตสาหกรรมวิดีโอ
รวมถึง กล้อง TrueDepth ที่ด้านหน้า ก็สามารถรองรับก ารถ่ายภาพในรูปแบบใหม่ โหมดภาพยนตร์ และรูปแบบ ProRes ได้เช่นเดียวกัน
ระบบการประมวลผล
iPhone 13 series ทั้งสี่รุ่นติดตั้งชิพ "A15 Bionic" ซึ่งมีความเร็วในการประมวลผลที่เร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ของสมาร์ทโฟน
Phone 13 / 13 mini เป็น CPU แบบ 6‑core ซึ่งมีคอร์ด้านประสิทธิภาพ 2 คอร์ และคอร์ด้านประหยัดพลังงาน 4 คอร์ ซึ่งเทียบกับรุ่นก่อนหน้านี้ ที่ใช้ ชิป A14 Bionic แล้วประสิทธิภาพเหนือกว่ามาก จากข้อมูลของ Apple ระบุว่า ประสิทธิภาพการประมวลผลที่เหนือชั้นนี้ ทำให้ iPhone 13 เร็วกว่า สมาร์ทโฟนของบริษัทอื่นถึง 50% โดยใช้กราฟิก GPU แบบ 4 ‑core เร็วกว่าบริษัทอื่นถึง 30% แสดงภาพในเกมที่สมจริงยิ่งขึ้น lส่วน Neural Engine เป็น แบบ 16‑core
iPhone 13 Pro / 13 Pro Max ใช้ CPU แบบ 6‑core ซึ่งมีคอร์ด้านประสิทธิภาพ 2 คอร์และคอร์ด้านประหยัดพลังงาน 4 คอร์ มีพลังในการประมวลผลเร็วกว่าบริษัทอื่นถึง 50% ในทางกลับกัน กราฟิกนั้นมาพร้อมกับ GPU แบบ 5 คอร์ ซึ่งเร็วกว่าบริษัทอื่นๆ ถึง 50% ให้ประสิทธิภาพกราฟิกสูงสุดในประวัติศาสตร์ของ iPhone เลยก็ว่าได้ เปิดประสบการณ์อย่างแท้จริงโดยเฉพาะในแอพวิดีโอและเกมกราฟิก นอกจากนี้ยังมี Neural Engine 16 คอร์อีกด้วย
โดย Neural Engine แบบ 16 คอร์ใน iPhone 13 ทุกรุ่น ทำงานอยู่ที่ 15.8 ล้านล้านต่อวินาที ซึ่งเร็วกว่าชิป A14 Bionic ที่ทำงาน 11 ล้านล้านต่อวินาที นอกจากนี้ A15 Bionic มีกระบวนการ 5nm เช่นเดียวกับ A14 Bionic แต่มีทรานซิสเตอร์ประมาณ 15 พันล้านตัว ( ในชิป A14 Bionic มีทรานซิสเตอร์ประมาณ 11.8 พันล้านตัว)
แบตเตอรี่
คุณสมบัติอีกอย่าง ที่ทำให้ ซีรีส์ iPhone นั้นเหนือชั้นกว่า เมื่อเทียบกันกับ ซีรีส์ iPhone 12 อย่างเห็นได้ชัด นั้นก็คือ พลังงานแบตเตอรี่ ที่ใช้งานได้ยาวนานยิ่งขึ้น จากการพัฒนาทั้งในด้านซอฟแวร์และฮาร์ดแวร์ ไม่ว่าจะเป็น การใช้ชิป A15 Bionic และ ระบบปฏิบัติการรุ่นล่าสุด iOS 15 ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการประหยัดพลังงานที่ยอดเยี่ยม แบตเตอรี่ใช้งานได้นานขึ้นด้วยการชาร์จเพียงครั้งเดียว
เมื่อเทียบกันแล้ว บน iPhone 13 / 13 mini แบตเตอรี่ใช้งานได้นานขึ้นสูงสุด2.5 ชั่วโมงและ 1.5 ชั่วโมงต่อวัน ส่วนในซีรีส์ Pro นั้น iPhone 13 Pro ใช้งานได้นานขึ้นสูงสุด 1.5 ชั่วโมงต่อวัน และ iPhone 13 Pro Max ใช้งานได้ดีที่สุดเท่าที่เคยมีมาใน iPhoneiPhone สามารถใช้งานได้นานขึ้นสูงสุด 2.5 ชั่วโมงต่อวัน
อีกสาเหตุหนึ่ง ที่ทำให้เวลาในการใช้งานเพิ่มขึ้น ก็น่าจะมาจาก แบตเตอรี่มีขนาดใหญ่ขึ้น โดยปกติแล้ว Apple ไม่ได้เปิดเผยขนาดความจุแบตเตอรี่ แต่ดูเหมือนว่า สื่อบางสำนัก สามารถเข้าถึงข้อมูลเหล่านั้นได้ อ้างอิงจาก PCMag
ขนาดของแบตเตอรี่
13 mini |
13 |
13 Pro |
13 Pro Max |
---|---|---|---|
2,406 mAh |
3,095 mAh |
3,095 mAh |
4,352 mAh |
12 mini |
12 |
12 Pro |
12 Pro Max |
---|---|---|---|
2,227 mAh |
2,815 mAh |
2,815 mAh |
3,687 mAh |
การเล่นวิดีโอและเสียง
|
13 mini |
13 |
13 Pro |
13 Pro Max |
---|---|---|---|---|
เล่นวิดีโอ |
17 ชั่วโมง |
19 ชั่วโมง |
20 ชั่วโมง |
28 ชั่วโมง |
เล่นวิดีโอ |
13 ชั่วโมง |
15 ชั่วโมง |
20 ชั่วโมง |
25 ชั่วโมง |
เล่นเสียง |
55 ชั่วโมง |
75 ชั่วโมง |
75 ชั่วโมง |
95 ชั่วโมง |
|
12 mini |
12 |
12 Pro |
12 Pro Max |
เล่นวิดีโอ |
15 ชั่วโมง |
17 ชั่วโมง |
17 ชั่วโมง |
20 ชั่วโมง |
เล่นวิดีโอ |
10 ชั่วโมง |
11 ชั่วโมง |
21 ชั่วโมง |
12 ชั่วโมง |
เล่นเสียง |
50 ชั่วโมง |
65 ชั่วโมง |
65 ชั่วโมง |
80 ชั่วโมง |
eSIM แบบคู่
ซีรีส์ iPhone 13 รองรับ การใช้ eSIM แบบคู่ แม้ว่า ซีรีส์ iPhone 12 จะรองรับ การใช้งานแบบซิมคู่ ด้วยก็ตาม แต่นี่เป็นครั้งแรกที่สามาใช้งาน eSIM ได้ทั้งสองซิม
eSIM คือซิมดิจิทัลที่ฝังไว้ล่วงหน้าในเครื่องเทอร์มินัล ดังนั้น คุณสามารถเปลี่ยนหรือเพิ่มผู้ให้บริการ เครือข่ายมือถือ โดยไม่ต้องเปลี่ยนซิมการ์ด โดย iPhone 13 รองรับการใช้งาน eSIM แบบคู่ หมายความว่าสามารถตั้งค่า eSIM ได้ 2 ตัวในเทอร์มินัลเดียว
บนซีรีส์ iPhone 12 รองรับการใช้งานซิมคู่ แบบซิมการ์ดจริง (nano-SIM)ใส่ลงในช่องเสียบบนตัวเครื่อง และ eSIM แต่ในซีรีส์ iPhone 13 แม้ว่าจะมีช่องสำหรับใช้งานซิมการ์ดจริง (nano-SIM)แต่สามารถเลือกใช้ eSIM ได้ทั้งสองซิม ไม่จำเป็นต้องใช้งานซิมจริงอีกต่อไป
|
|
บทความที่เกี่ยวข้อง
Latest News
iOS 16.3 และ iPadOS 16.3 พร้อมให้อัปเดต | 24/1 |
วิธีใช้ Apple Music Sing ฟังก์ชั่นร้องคาราโอเกะ บน iOS 16.2 | 18/12 |
iOS 16.2 และ iPadOS 16.2 มาแล้ว พร้อมแอปใหม่ "Freeform" | 14/12 |
iPhone 15 : รวมทุกข้อมูลอัพเดทล่าสุด ให้คุณรู้ก่อนใคร | 29/11 |
iOS 16: วิธีดูรหัสผ่าน Wi-Fi ที่กำลังเชื่อมต่อ และจากประวัติการใช้งาน | 10/11 |
iOS 16.1.1และ iPadOS 16.1.1 อัปเดตเพื่อแก้ไขปัญหาข้อบกพร่องและความปลอดภัย | 10/11 |
iOS 16: วิธียกเลิกส่ง บนแอป เมล (Mail) | 05/11 |
วิธีใช้กล้องอัลตร้าไวด์ / กล้องไวด์ / กล้อง เทเลโฟโต้ | 27/10 |
iOS 16.1 และ iPadOS 16.1 ปล่อยให้อัปเดตแล้ว | 25/10 |
iPhone 14 กับ iPhone 13 เปรียบเทียบกันแบบละเอียด | 24/10 |
iPhone News | iPad News |