iPhone14 : อัพเดทข้อมูลล่าสุด

= เนื้อหาในบทความนี้ =

iPhone 14 วันสั่งซื้อล่วงหน้า วันที่วางจำหน่าย

รุ่น

วันที่สั่งซื้อล่วงหน้า

วันที่วางจำหน่าย

iPhone 14

9 กันยายน 2565

16 กันยายน 2565

iPhone 14 Plus

7 ตุลาคม 2565

iPhone 14 Pro

16 กันยายน 2565

iPhone 14 Pro Max

ราคาวางจำหน่ายบน Apple store

* ราคาดังกล่าวรวมภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว

 

14

14 Plus

14 Pro

14 Pro Max

128GB

32,900 ฿

37,900 ฿

41,900 ฿

44,900 ฿

256GB

36,900 ฿

41,900 ฿

45,900 ฿

48,900 ฿

512GB

45,900 ฿

50,900 ฿

54,900 ฿

57,900 ฿

1TB

-

-

63,900 ฿

66,900 ฿

ฟังก์ชั่นและคุณสมบัติใหม่ ของ iPhone 14

การออกแบบ

รูปลักษณ์ภายนอกนั้นไม่มีการเปลี่ยนแปลงมากนั้น การจัดเรียงของกล้องด้านหลังยังคงเหมือนเดิม แต่ระบบกล้องคู่ของ iPhone 14/14 Plus จัดเรียงในแนวทแยง ส่วนระบบเลนส์ระดับโปร ของ iPhone 14 Pro/14 Pro Max จัดอยู่ในรูปสามเหลี่ยมด้านเท่า ซึ่งดีไซน์ตัวเครื่องยังคงคล้ายกับซีรีส์ iPhone 13

น้ำหนักและขนาด

ขนาด

 

14

14 Plus

14 Pro

14 Pro Max

ขนาดจอภาพ

6.1 นิ้ว

6.7 นิ้ว

6.1 นิ้ว

6.7 นิ้ว

ขนาด

สูง: 146.7 mm
กว้าง: 71.5 mm
หนา: 7.80 mm

สูง: 160.8 mm
กว้าง: 78.1 mm
หนา: 7.80 mm

สูง: 147.5 mm
กว้าง: 71.5 mm
หนา: 7.85 mm

สูง: 160.7 mm
กว้าง: 77.6 mm
หนา: 7.85 mm

น้ำหนัก

172 g

203 g

206 g

240 g

ในซีรีส์ iPhone 14 นี้ รุ่น mini ขนาด 5.4 นิ้ว ถูกยกเลิกออกไป และเพิ่ม iPhone 14 Plus ขนาด 6.7 นิ้ว เข้ามาใหม่ โดยทั้งสองรุ่นท็อปบนและสองรุ่นล่างมีหน้าจอ ให้เลือก 2 ขนาด คือ 6.1 นิ้ว และ 6.7 นิ้ว แม้ว่าขนาดจะใกล้เคียงกันระหว่างรุ่นบนและรุ่นล่าง แต่น้ำหนักของรุ่นบนจะหนักกว่าประมาณ 30 กรัม เนื่องจากระบบกล้องด้านหลังที่แตกต่าง

สี

สี

ซ้าย iPhone 14 , ขวา iPhone 14 Pro

 

14

14 Plus

14 Pro

14 Pro Max

สี

มิดไนท์
ม่วง
สตาร์ไลท์
(PRODUCT)RED
ฟ้า

ดำสเปซแบล็ค
เงิน
ทอง
ม่วงเข้ม

วัสดุตัวเครื่อง

สองรุ่นด้านล่างใช้อะลูมิเนียมเกรดเดียวกับที่ใช้ในการผลิตยานอวกาศ ซึ่งเบาและแข็งแรง และด้านหลังเป็นกระจก ในส่วนสอง รุ่นระดับไฮเอนด์ ใช้สแตนเลสสตีลระดับพรีเมียม ด้านหลังเป็นกระจกผิวด้าน ส่วนดีไซน์ด้านหน้าของทั้งสี่รุ่นใช้ Ceramic Shield ซึ่งทนทานต่อแรงกระแทกและแข็งแกร่งกว่ากระจกของสมาร์ทโฟนทุกรุ่น เพื่อปกป้องหน้าจอ

"Dynamic Island" การออกแบบใหม่ บนพื้นที่รอยบาก

Dynamic Island

ในที่สุด iPhone 14 Pro / 14 Pro Max รอยบากก็การพัฒนาและเปลี่ยนรูปแบบใหม่ เป็นรูปทรงแคปซูล ที่เรียกว่า "Dynamic Island" แต่น่าเสียดายที่ iPhone 14/14 Plus ยังคงใช้รอยบากที่ด้านบนของจอแสดงผล รูปแบบเดิมอยู่

ตามที่ Apple ให้ข้อมูล Dynamic Island คือ พื้นที่ แสดงข้อมูล การแจ้งเตือน และ แสดงกิจกรรมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น การควบคุมเพลง ความคืบหน้าในการชาร์จ และอื่นๆ อีกทั้งยังรวมเป็นหนึ่งเดียวกับ iOS 16 และทำงานได้กับแอปทุกประเภท เพื่อแสดงสิ่งที่คุณต้องการในเวลาที่ใช่ได้อย่างไม่มีสะดุด

เบื้องหลังการทำงานของ Dynamic Island นวัตกรรมที่เป็นเอกลักษณ์ของ Apple มาจาก อัลกอริทึมจอภาพที่ล้ำหน้า ทำให้ ตอบสนองได้รวดเร็วทันใจ ไม่ว่าคุณจะแตะ ปัด หรือกดค้าง และการย่อขนาดของระบบกล้อง TrueDepth (ลดลง 31% เมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้า) เพื่อให้ได้พื้นที่จอภาพมากขึ้น

จอภาพ

iPhone14

ทุกรุ่นในซีรีส์ iPhone 14 ใช้จอภาพ Super Retina XDR ให้คุณเพลิดเพลินกับเนื้อหาต่าง ๆ เช่นเกมและวิดีโอ ได้อย่างเต็มอิ่ม โดยในสองรุ่นด้านล่าง มีรุ่น หน้าจอขนาดใหญ่ 6.7 นิ้ว (iPhone 14 Plus) โดยความละเอียดของจอภาพจะเป็นแบบ ความสว่างสูงสุด 800 นิต (ทั่วไป) และความสว่างสูงสุดเฉพาะจุด 1,200 นิต (HDR) อัตราส่วนคอนทราสต์ 2,000,000:1 (ทั่วไป) สีสันสดใสและสมจริงด้วยคุณสมบัติ True Tone

จอภาพแบบติดตลอด

จอภาพแบบติดตลอด

ในทางกลับกัน รุ่นระดับ Pro สองรุ่นด้านบน มีความพิเศษกว่า คือ จอภาพแบบติดตลอด ที่รองรับการแสดงผลแบบเปิดตลอดเวลา เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของ iPhone ที่หน้าจอล็อค สามารถมองเห็นได้ตลอดเวลา โดยที่คุณไม่ต้องแตะหน้าจอ และเมื่อวาง iPhone คว่ำหน้าหรือใส่ในกระเป๋า หน้าจอก็จะมืดลงเพื่อประหยัดแบตเตอรี่

จอภาพที่สว่างขึ้นสูงสุด 2 เท่าเมื่ออยู่กลางแดด

นอกจากนี้ ความสว่างสูงสุดในที่กลางแจ้ง ยังได้รับการปรับปรุงเป็น 2,000 นิต (สองเท่าของรุ่นก่อนหน้า) ดูเหมือนว่าคุณสามารถตรวจสอบตัวอักษรบนหน้าจอได้แม้ในวันที่มีแดดจ้า ความสว่างสูงสุดเมื่อใช้ HDR ก็เท่ากับ 1,600 นิต ซึ่งเป็นการอัปเกรดจากรุ่นก่อนหน้า เช่นเคย ยังรองรับเทคโนโลยี ProMotion ซึ่งรีเฟรชหน้าจอระหว่าง 10 ถึง 120 ครั้งต่อวินาที และแสดงภาพได้อย่างราบรื่น

กล้อง

ระบบกล้องหลัง

เช่นเคย iPhone 14/14 Plus มาในระบบกล้องคู่ กล้องไวด์/กล้องอัลตร้าไวด์(ช่วงซูมออปติคอล 2 เท่า) ส่วน iPhone 14 Pro/14 Pro Max เป็นระบบกล้องระดับโปร กล้องไวด์/กล้องอัลตร้าไวด์/กล้องเทเลโฟโต้ 3 เท่าความละเอียด (ช่วงซูมออปติคอล 6เท่า)

・iPhone 14 / 14 Plus

iPhone 14 / 14 Plus

ทั้งกล้องไวด์และกล้องอัลตร้าไวด์ มีความละเอียดอยู่ที่ 12 ล้านพิกเซล ซึ่งเท่ากับรุ่นก่อนหน้า แต่ค่ารูรับแสงของกล้องหลัก (ไวด์) เปลี่ยนจาก ƒ / 1.6 เป็น ƒ / 1.5 และมีขนาดเซนเซอร์ใหญ่ขึ้นกว่าเดิม (1.9 µm พิกเซล) รับแสงได้มากกว่ารุ่นก่อน ถึง 49% ด้วยการเพิ่มปริมาณแสงที่ได้รับ ช่วยให้การถ่ายภาพในสภาวะแสงน้อยดียิ่งขึ้น นอกจากนี้ การเปิดรับแสงในโหมดกลางคืนยังเร็วขึ้นถึง 2 เท่า

*ค่ารูรับแสงคือการแสดงตัวเลขของปริมาณแสงที่เข้าสู่กล้อง ยิ่งค่าน้อยยิ่งสว่าง

・iPhone 14 Pro/ 14 Pro Max

กล้อง

ในส่วนของรุ่น Pro กล้องหลัก (ไวด์) ได้รับการอัปเกรด จากเดิมที่ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล เป็นความละเอียด 48 ล้านพิกเซล มาพร้อมเซ็นเซอร์แบบ Quad-pixel

ตามชื่อเรียก Quad-pixel มีการทำงานแบบรวม 4 พิกเซลเข้าด้วยกันเป็นหนึ่งควอดพิกเซลขนาดใหญ่ที่ สามารถรับแสงได้มากขึ้น 4 เท่า ซึ่งเทียบเท่ากับ 2.44 µm เป็นคุณสมบัติที่ยอดเยี่ยม ช่วยให้คุณถ่ายภาพที่สวยงามน่าทึ่งได้แม้ในที่มืด โดยที่ยังคงขนาดภาพไว้ที่ ระดับ"moderate" ในความละเอียด 12 ล้านพิกเซล (เซ็นเซอร์ Quad Pixel ประหยัด 12 ล้านพิกเซล สำหรับการถ่ายภาพปกติ แต่บันทึกได้ 48 ล้านพิกเซลสำหรับ Apple ProRAW เท่านั้น)

ทั้งยังเพิ่มฟังก์ชั่น ในตัวกล้องเทเลโฟโต้ 2 เท่าความละเอียด ให้สามารถถ่ายภาพความละเอียดสูงและวิดีโอ 4K ได้โดยไม่ต้องใช้ดิจิตอลซูม รองรับโหมดภาพถ่ายบุคคล พร้อม ไทม์แลปส์ การถ่ายภาพพาโนรามา และรองรับการซูมแบบออปติคอล 3 เท่า

ในด้านของกล้องอัลตร้าไวด์ มีขนาดเซนเซอร์ที่ใหญ่ขึ้น (พิกเซล 1.4µm) และเมื่อเก็บแสงได้มากขึ้น สามารถได้ภาพที่คมชัดสมจริงพร้อมเก็บรายละเอียดได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ในขณะเดียวกัน ประสิทธิภาพของการถ่ายภาพมาโครก็ดีขึ้นเช่นกัน

ในส่วนของค่ารูรับแสงนั้น กล้องไวด์และอัลตร้าไวด์ ได้การเปลี่ยนแปลง เป็นขนาด ƒ/1.78 และ ƒ/2.2 ตามลำดับ แต่ กล้องเทเลโฟโต้ มีขนาดที่ ƒ/2.8 เท่ากัน กับรุ่นก่อนหน้านี้

ระบบกล้องหน้า

กล้องหน้า (TrueDepth) มาพร้อมออโต้โฟกัสด้วย Focus Pixels ตัวแรกในประวัติศาสตร์ของ iPhone แม้ว่า ความละเอียด จะยังคงเท่าเดิม(12 เมกะพิกเซล) แต่ค่ารูรับแสงก็เพิ่มขึ้นจาก ƒ/2.2 เป็น ƒ/1.9 ทำให้สามารถถ่ายภาพและวิดีโอที่สว่างขึ้นได้ ด้วยฟังก์ชันโฟกัสอัตโนมัติ ทำให้สามารถโฟกัสด้วยความเร็วสูงได้แม้ในสถานการณ์ที่โฟกัสได้ยาก เช่น เมื่อแสงไม่เพียงพอหรือเมื่อวัตถุอยู่ไกล

คุณสมบัติใหม่ของกล้อง ในซีรีส์ iPhone 14

・Photonic Engine
Photonic Engine เป็นฟังก์ชันที่ปรับปรุงประสิทธิภาพ (คุณภาพของภาพ) ของการถ่ายภาพ ในฉากที่มีแสงน้อย หรือในที่ ที่มีแสงน้อยถึงปานกลาง บน iPhone 14/14 Plus ประสิทธิภาพบนกล้องอัลตร้าไวด์และกล้อง TrueDepth เพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า และประสิทธิภาพของกล้องไวด์เพิ่มขึ้น 2.5 เท่า ในทางกลับกัน ในรุ่น Pro มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น 2 เท่า บนกล้องไวด์ กล้องเทเลโฟโต้ และ กล้องTrueDepth และการปรับปรุงประสิทธิภาพเป็น 3 เท่า ในกล้องอัลตร้าไวด์

Photonic Engine ใช้ Deep Fusion (เทคโนโลยีการประมวลผลภาพที่สังเคราะห์ภาพถ่ายหลายภาพ และแสดงรายละเอียดที่เล็กที่สุดได้อย่างสวยงาม) ในขั้นตอนแรกของกระบวนการประมวลผลภาพ และถ่ายทอดรายละเอียด สี และพื้นผิวได้อย่างละเอียดอ่อน

・โหมดแอ็คชั่น
โหมดป้องกันภาพสั่นไหวใหม่ "โหมดแอ็คชั่น" ปรากฏขึ้นสำหรับการถ่ายภาพยนตร์ แม้ในขณะที่ช่างภาพกำลังเคลื่อนไหว เช่น ขณะไล่ตามวัตถุ โหมดนี้จะปรับตามการสั่นและการสั่นไหว ดังนั้นคุณจึงสามารถถ่ายภาพได้อย่างราบรื่นและคงที่ โดยไม่ต้องมือจับหรืออุปกรณ์เสริมอื่นๆเพิ่มเติม

・โหมดภาพยนตร์
โหมดภาพยนตร์ ได้รับการเปิดตัวมาตั้งแต่ใน iPhone 13 สามารถใช้งานร่วมกับการถ่ายภาพ 4K HDR ที่ 30 เฟรมต่อวินาทีได้ นอกจากนี้ยังสามารถถ่ายภาพที่ 24 เฟรมต่อวินาที ซึ่งเท่ากับจำนวนเฟรมในภาพยนตร์ ทำให้คุณสามารถเพลิดเพลิน ไปกับการเล่าเรื่องที่มีคุณภาพระดับโรงภาพยนตร์

・ฟังก์ชันแฟลชที่ออกแบบใหม่
บน iPhone 14 / 14 Plus แฟลช True Tone สว่างกว่าเดิม 10% สามารถฉายแสงได้อย่างทั่วถึง ในทางกลับกัน iPhone 14 Pro / 14 Pro Max มี "Adaptive True Tone Flash" รูปแบบใหม่ ด้วยความสว่างของ LED 9 ดวง ได้รับการปรับให้เข้ากับทางยาวโฟกัส เพื่อให้แสงที่สมบูรณ์แบบสำหรับวัตถุของคุณ

ระบบการประมวลผล

iPhone 14 Pro / 14 Pro Max มาพร้อมกับชิปตัวใหม่ A16 Bionic ส่วนใน iPhone 14 / 14 Plus นั้นยังคงใช้งาน A15 Bionic เช่นเดียวกับที่ติดตั้งใน ซีรีส์ iPhone 13

ระบบการประมวลผล

รุ่น Pro ติดตั้งชิป A16 Bionic ตัวใหม่ล่าสุด

ชิป A16 Bionic ทำให้ iPhone กลายเป็นสมาร์ทโฟนที่เร็วที่สุดเท่าที่เคยมีมา ด้วย CPU แบบ 6‑core ซึ่งมีคอร์ด้านประสิทธิภาพ 2 คอร์และคอร์ด้านประหยัดพลังงาน 4 คอร์ ซึ่ง Apple อ้างว่าเร็วกว่าคู่แข่งถึง 40% สามารถรองรับ การใช้งานหนักและตอบสนองได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ ในด้านของกราฟิก ก็ติดตั้ง GPU แบบ 5‑core มีแบนด์วิดท์หน่วยความจำ มากขึ้น 50% เพื่อรองรับกราฟิกที่ซับซ้อนในเกมมือถือ ใหม่ๆให้มีความลื่นไหล

นอกจากนี้ยังมี Neural Engine แบบ 16 คอร์ ที่สามารถทำงานได้ประมาณ 17 ล้านล้านรายการต่อวินาที ประกอบด้วยทรานซิสเตอร์ 16 พันล้านตัว ซึ่ง A16 Bionic ไม่เพียงแต่มีความเร็วในการประมวลผลเท่านั้น แต่ยังมีประสิทธิภาพด้านพลังงานอีกด้วย พร้อมเทคโนโลยี โปรเซสเซอร์สัญญาณภาพ (ISP) เบื้องหลังความยืดหยุ่นในการสร้างสรรค์ของเซ็นเซอร์แบบ Quad‑pixel ส่งผลให้ได้ภาพที่คมชัด อย่างน่าทึ่ง

14 / 14 Plus ใช้งาน A15 Bionic ตัวเดียวกับที่ใช้ใน iPhone13

ประสิทธิภาพของ ชิป A15 Bionic เป็น CPU แบบ 6‑core ซึ่งมีคอร์ด้านประสิทธิภาพ 2 คอร์ และคอร์ด้านประหยัดพลังงาน 4 คอร์ อีกทั้ง GPU ได้รับการอัปเกรด จาก 4 คอร์ธรรมดาเป็น 5 คอร์ ซึ่งส่งผลต่อความเร็วในการประมวลผลของเกมและวิดีโอ มี Neural Engine แบบ 16 คอร์ สามารถประมวลผลการทำงานได้ 15.8 ล้านล้านรายการต่อวินาที และเมื่อทำงานร่วมกับ คุณสมบัติของ iOS 16 ก็ยิ่งเพิ่มประสิทธิภาพที่ทรงพลังยิ่งขึ้นไปอีก

นอกจากนี้ยังมีตัว Secure Enclave (ตัวประมวลผลความปลอดภัย) เพื่อปกป้องข้อมูลส่วนตัวของคุณ อย่างข้อมูล Face ID, รายชื่อ อีกทั้งประสิทธิภาพการประมวลผลของชิป A15 ยังส่งผลต่อฟังก์ชันของกล้อง เช่น Photonic Engine และโหมดภาพยนตร์ ตลอดจนอายุการใช้งานแบตเตอรี่ ให้มีระยะเวลาการใช้งานที่ยาวนานขึ้น ประสิทธิภาพเรื่องระบายความร้อน ก็ได้รับการปรับปรุง โดยเฉพาะ การปรับปรุงการออกแบบภายใน ให้กระจายความร้อนที่ได้ดีแม้ใน สถานการณ์ที่มีการใช้งานหนักๆ เช่น เล่นเกมส์ต่อเนื่องเป็นเวลานาน

แบตเตอรี่

แบตเตอรี่

ในซีรีส์ iPhone 14 ทุกรุ่น แบตเตอรี่ได้รับการปรับปรุงชิปในตัว ให้ประหยัดพลังงานมากขึ้น (A15 Bionic / A16 Bionic) ด้วยการทำงานบน iOS และซอฟต์แวร์อื่นๆ ที่มีความสามารถในการประมวลผลสูง จะทำงานร่วมกันเพื่อควบคุมการใช้พลังงานและยืดอายุการใช้งานแบตเตอรี่ได้อย่างมีประสิทธภาพ โดย iPhone 14 Plus สามารถเล่นวิดีโอได้นานถึง 26 ชั่วโมง ส่วนอีก สามรุ่น ยังอิงตามคอนเซปต์ว่า "ใช้งานได้ตลอดทั้งวัน" และ "ทรงพลัง" และมีเวลาเล่นต่อเนื่องที่เพิ่มขึ้นด้วย

โดยช่องต่อ ยังคงเป็นแบบ Lightning แต่ทุกรุ่น ของ iPhone 14 รองรับการชาร์เร็วด้วย ที่ชาร์จแบบไร้สายแบบ MagSafe และการชาร์จแบบไร้สาย Qi (ที่ชาร์จทั้งสองแบบ มีแยกจำหน่ายต่างหาก)

คุณสมบัติการตรวจจับการชนกัน

คุณสมบัติการตรวจจับการชนกัน

ฟังก์ชันตรวจจับการชนกัน ที่ติดตั้งใน Apple Watch Series 8 ก็ปรากฏเป็น ฟังก์ชันใหม่ในซีรีส์ iPhone 14 ด้วยเช่นกัน

ด้วยคุณสมบัตินี้ เมื่อเกิดเหตุรถชน อุปกรณ์จะตรวจจับการชนและโทรขอความช่วยเหลือโดยอัตโนมัติ หากผู้ใช้หมดสติหรืออยู่ไกลจาก iPhone นอกจากนี้ยัง สามารถแจ้งผู้ติดต่อในกรณีฉุกเฉินได้อีกด้วย

และยังทำงานร่วมกันกับ Apple Watch โดยในขณะที่ คุณสวมใส่ Apple Watch อยู่ ระบบจะแสดงหน้าจอการโทรฉุกเฉินขึ้น เพื่อให้แน่ใจว่าคุณสามารถโทรขอความช่วยเหลือได้ ในทางกลับกัน หาก iPhone อยู่ใกล้ๆ และอยู่ในระยะครอบคลุมสัญญาณที่ดี ระบบก็จะเลือกทำการโทรผ่าน iPhone แทน

กลไกการตรวจจับขึ้น อยู่กับการเปลี่ยนแปลงความเร็วอย่างกะทันหัน เช่น การเร่งความเร็วและการชะลอตัว การเปลี่ยนแปลงแรงดันภายในรถที่เกิดขึ้น เมื่อถุงลมนิรภัยทำงาน การเปลี่ยนแปลงทิศทางอย่างกะทันหัน ระดับของเสียงปะทะที่ดังอย่างรุนแรง ซึ่งพัฒนาโดยใช้ อัลกอริทึมการเคลื่อนที่ขั้นสูง จากการทดสอบการชนแบบต่างๆ ทั้งการชนด้านหน้า การชนท้าย การชนด้านข้าง และการพลิกคว่ำ

ซิมการ์ด และ eSIM

ซีรีส์ iPhone 14 รองรับการใช้งานแบบซิมคู่ ทั้งแบบ (การ์ดนาโนซิม + eSIM) และการใช้งานแบบ eSIM คู่ (eSIM + eSIM)

ซึ่งการใช้ eSIM จำเป็นต้องมีแผนบริการระบบไร้สาย (ซึ่งอาจมีข้อจำกัดเกี่ยวกับการเปลี่ยนผู้ให้บริการและการโรมมิ่ง) ผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์บางราย อาจไม่รองรับ eSIM การใช้ eSIM ใน iPhone อาจไม่สามารถใช้งานได้ เมื่อซื้อจากผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์บางราย โปรดสอบถามรายละเอียด จากผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์ของคุณ

อีกทั้งตัวเครื่องที่วางจำหน่ายใน สหรัฐอเมริกา ทั้ง 4 รุ่น ไม่มีถาดใส่ซิมการ์ดแล้ว ใช้งานผ่าน eSIM เท่านั้น เป็นไปได้ว่าในอนาคตอันใกล้ การวางจำหน่ายในไทยอาจได้ใช้งาน ส่วนตัวเครื่อง iPhone แบบ eSIM เพียงอย่างเดียวเช่นกัน

เครือข่าย 5G และ Wi-Fi 6

ระบบการสื่อสารผ่านเครือข่าย 5G บน iPhone ใหม่ มีประสิทธิภาพมากขึ้น พื้นที่การสื่อสารก็ครอบคลุมยิ่งขึ้น ในทางด้านของ การใช้งานบนเครือข่าย Wi-Fi 6E ที่คาดไว้ว่าจะได้ใช้บน iPhone 14 ถูกเลื่อนออกไปอย่างน่าเสียดาย ในขณะนี้รองรับ Wi-Fi 6 เช่นเดียวกันกับซีรีส์ iPhone 13

การสื่อสารผ่านดาวเทียม

ซีรีส์ iPhone 14 รองรับการสื่อสารผ่านดาวเทียม เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ iPhone ด้วยคุณสมบัตินี้ คุณสามารถส่งข้อความไปยังบริการโทรฉุกเฉินเพื่อขอความช่วยเหลือได้ แม้ว่าคุณจะอยู่นอกพื้นที่ให้บริการมือถือ หรือไม่มี Wi-Fi เช่น ในภูเขา ในทะเล หรือระหว่างเกิดภัยพิบัติ

ข้อความที่ส่งจะไปถึงศูนย์ช่วยเหลือ จากนั้นเจ้าหน้าที่มืออาชีพจะโทรขอความช่วยเหลือใ นนามของผู้ใช้ บริการนี้จะพร้อมใช้งานในสหรัฐอเมริกาและแคนาดา ในเดือนพฤศจิกายน และจะให้บริการฟรีเป็นเวลาสองปี (ยังไม่มีกำหนดอย่างเป็นทางการสำหรับการใช้งานในประเทศไทย)

ประสิทธิภาพ การทนน้ำและกันฝุ่น

iPhone 14 ทั้ง 4 รุ่น สามารถทนน้ำที่กระเด็นใส่ และฝุ่น ที่ระดับ IP68 (ระดับสูงสุดของการกันฝุ่นและน้ำ) ตามมาตรฐานสากล IEC 60529

* มาตรฐาน IP68: ความลึกไม่เกิน 6 เมตร ภายในระยะเวลาสูงสุด 30 นาที

บทความที่เกี่ยวข้อง

Latest News