11 สิ่งที่ควรรู้เกี่ยวกับ Apple Watch

ในงานอีเว้นท์เปิดตัวสินค้าใหม่ของ Apple เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ได้มีการเปิดตัวนาฬิกาข้อมืออัจฉริยะ หรือ Apple Watch ตัวแรกกันไปแล้ว ซึ่งจะเริ่มวางจำหน่ายในช่วงต้นปี 2015 ราคาเริ่มต้นที่ 349 เหรียญสหรัฐ (ประมาณ 11,168 บาท) และต่อไปนี้เป็นสิ่งที่ควรรู้เกี่ยวกับนาฬิกาข้อมืออัจฉริยะ "Apple Watch" จาก Apple

1. มีรูปทรงที่ทันสมัย

Apple Watch ไม่ได้เป็นเพียงแค่อุปกรณ์ไฮเทค (High Tech) ที่เพียบพร้อมไปด้วยความสามารถเท่านั้น แต่ยังพกพาดีไซน์ที่สวยงามทันสมัยมาด้วย

และนั่นคงเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทาง Apple เชิญบล็อกเกอร์แฟชั่นมาร่วมในงานอีเว้นท์ในครั้งนี้

ด้วยหน้าปัดของ Apple Watch ที่มีขนาดเล็ก การใช้งานปุ่ม Digital Crown ทางด้านข้างจะช่วยนำทางไปยังเมนูต่างๆ รวมถึงการซูมหน้าจอ การ scroll up และ การ scroll down ได้ง่ายและสะดวกมากขึ้น แต่หน้าปัดของนาฬิกาข้อมืออัจฉริยะตัวนี้ก็ยังสามารถใช้งานแบบจอสัมผัสได้

2. มีแบบให้เลือกมากขึ้น

สำหรับดีไซน์ของ Apple Watch ได้รับการดีไซน์ออกมาถึง 3 รุ่นด้วยกัน คือ รุ่น Regular Watch ดีไซน์เป็นกรอบสแตนเลสมาตรฐาน, รุ่น Watch Edition เพิ่มความหรูหราด้วยการทำกรอบทอง 18 เค และรุ่น Watch Sport ดีไซน์เป็นกรอบอลูมิเนียมที่มีน้ำหนักเบาและเพิ่มความทนทาน

ซึ่งแต่ละรุ่นจะมีหน้าจอ 2 ขนาด คือ 1.5 นิ้ว และ 1.65 นิ้ว สามารถสวมใส่ได้ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย และยังมีสายข้อมือที่มาให้เลือกหลากหลายสไตล์ไม่ว่าจะเป็นแบบแนวสปอร์ต หรือจะเป็นแบบแนวหรูหราดูดีมีสไตล์ อีกทั้งยังสามารถปรับแต่งหน้าปัดนาฬิกาได้ตามความชอบอีกด้วย

3. ต้องใช้งานคู่กับ iPhone

การทำงานของนาฬิกาข้อมืออัจฉริยะ Apple Watch ต้องมีการเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนรุ่นที่รองรับเพื่อการทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งสมาร์ทโฟนรุ่นที่รองรับ ได้แก่ iPhone 5 หรือ iPhone 6

4. รูปแบบใหม่ของการสื่อสาร

ผู้ใช้งานสามารถสเกตซ์ภาพบนหน้าปัด Apple Watch โดยเลือกฟังก์ชั่นใช้งานจากปุ่ม Digital Touch เพื่อแชร์ความรู้สึกเป็นภาพสเกตซ์แบบดิจิตอล หรือจะส่งไอคอนอิโมจิแบบเคลื่อนไหวได้ที่มีมาพร้อมกับระบบในตัวเรือนนาฬิกาไปยังกลุ่มเพื่อนที่มี Apple Watch เหมือนกันได้

หรือจะส่งข้อความเสียงหากันแบบวอล์คกี้ทอล์คกี้ภายในกลุ่มเพื่อนที่มี Apple Watch ก็สามารถทำได้อีกด้วย

5. เป็นเทรนเนอร์ควบคุมการออกกำลังกาย

Apple Watch เป็นอุปกรณ์ที่ให้ข้อมูลทางด้านสุขภาพและการออกกำลังกายอย่างครบวงจร เช่น ความสามารถในการนับอัตราการเต้นของหัวใจ, อัตราการเผาผลาญแคลอรี่, ข้อมูลการออกกำลังกายในหนึ่งวัน ซึ่ง Apple Watch สามรถบันทึกพฤติกรรมการออกกำลังกายของผู้ใช้งานและให้คำแนะนำเกี่ยวกับพฤติกรรมการออกกำลังกายเพื่อให้บรรลุตามเป้าหมายการออกกำลังกายที่ได้ตั้งไว้

ทั้งนี้ จะต้องใช้งานรวมกับแอพพลิเคชั่นการออกกำลังกาย (Fitness app) บน iPhone เพื่อแทร็กข้อมูลพฤติกรรมการออกกำลังกายและเก็บเป็นข้อมูลการออกกำลังกายในระยะยาวได้

6.เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ชำระเงินค่าสินค้าได้

ผู้ใช้งานสามารถใช้ Apple Watch ในการชำระค่าสินค้า เพียงแค่แท็บตัวนาฬิกาข้อมืออัจฉริยะกับเครื่องรับชำระเงินก็สามารถใช้ชำระค่าสินค้าต่างๆ ได้

7. ใช้งานร่วมกับแอพพลิเคชั่นภายนอก

นอกเหนือจากการแจ้งเตือนแบบข้อความตัวอักษรและการอัพเดตข้อมูลทางด้านการออกกำลังกายบน iPhone ได้แล้ว Apple Watch ยังสามารถแสดงผลการแจ้งเตือนจากแอพพลิเคชั่นต่างๆ เมื่อมีรายการการอัพเดต เช่น การแจ้งเตือนจากแอพพลิเคชั่น Facebook, การแจ้งผลคะแนนการแข่งขันเบสบอล, และการบอกรายละเอียดตำแหน่งที่จอดรถ (เฉพาะรถ BMW) รวมถึงโรงแรมในเครือ Starwood ได้จับมือกับ Apple ออกแบบแอพพลิเคชั่นเพื่อใช้ในการเปิดประตูห้องพักในโรงแรม โดยใช้นาฬิกาข้อมืออัจฉริยะ Apple Watch

8.มีการนำเสนอวิธีการชาร์จแบต แต่ไม่ได้บอกว่าจะใช้งานได้นานเท่าไหร่

ในงานอีเว้นท์เมื่อวันอังคารที่ผ่านมาได้มีการพูดแนะนำนาฬิกาข้อมืออัจฉริยะ Apple Watch รวมถึงวิธีการชาร์จไฟของอุปกรณ์ดังกล่าว โดยจะใช้สายชาร์จแม่เหล็กเชื่อมต่อเข้ากับด้านหลังของนาฬิกาข้อมืออัจฉริยะ แต่ในเรื่องของอายุการใช้งานแบตเตอรี่ (Battery life) ยังไม่ได้มีการเอ่ยถึง

ซึ่งประเด็นเรื่องอายุการใช้งานของแบตเตอรี่ที่ไม่ยาวนานยังคงเป็นปัญหาอยู่ในตลาดของนาฬิกาข้อมืออัจฉริยะ เพราะนาฬิกาข้อมือแจฉริยะบางยี่ห้อสามารถใช้งานได้แค่ 5-7 วัน หรืออาจจะน้อยกว่านั้น คือใช้ได้แค่ 2-3 ชั่วโมง แม้ว่าจะเป็นยี่ห้อรุ่นที่เป็นหน้าจอขาว-ดำและใช้หน้าจอสัมผัสไม่ได้

ทางด้านบริษัทคู่แข่งที่พากันมาทำตลาดนาฬิกาข้อมืออัจฉริยะก็ทำให้เห็นแล้วว่า Apple Watch จะต้องเจอกับอุปสรรคปัญหาอะไรบ้างเมื่อมีการออกวางจำหน่ายในต้นปี 2015 แล้ว อย่างเช่น SmartWatch 3 ของ Sony สามารถใช้งานแบตเตอรี่ได้แค่ 2 วัน และ Moto 360 ของ Motorola ที่ถูกโจมตีเรื่องอายุการใช้งานแบตเตอรี่ก่อนที่จะมีการออกวางจำหน่าย ซึ่งแบตเตอรี่ Moto 360 นั้นสามารถใช้งานได้ 24 ชั่วโมงเท่านั้น

9. เรียนรู้ภาษาใหม่จากการสั่นของนาฬิกาข้อมืออัจฉริยะ

ด้วยระบบ Morse code ทำให้ Apple Watch สามารถบอกทิศทางได้ด้วยการสั่นสะเทือนที่มีรูปแบบเฉพาะตามทิศทาง ซึ่งผู้ใช้งานจะสามารถทราบทิศทางที่แตกต่างกันได้ด้วยรูปแบบการสั่นเตือนที่ต่างกัน

เช่น เมื่อถึงกำหนดให้เลี้ยวซ้าย Apple Watch จะสั่นเตือนด้วยการสั่นรูปแบบหนึ่ง และเมื่อต้องเลี้ยวขวาก็จะมีการสั่นเตือนเป็นอีกรูปแบบหนึ่ง

10. Siri

เพียงแค่กดปุ่ม Digital Crown เรียกการใช้งาน Siri ก็สามารถใช้คำสั่งเสียงกับ Apple Watch เพื่อถามข้อมูลเรื่องสภาพอากาศ ค้นหาสถานที่ต่าง ๆ ในละแวกใกล้เคียงได้

11.จับเวลาได้อย่างแม่นยำ

นอกจากพวกไฮเทคโนโลยีแล้ว นาฬิกาข้อมือ Apple Watch ก็ยังสามารถบอกเวลาได้อย่างถูกต้องตรงตามเวลามาตรฐานโลก และจับเวลาได้อย่างแม่นยำไม่เกิน 50 มิลลิวินาทีของเวลามาตรฐานโลกเช่นเดียวกัน

via - Vox

Latest News